อีกหนึ่งบุคคลผู้อยู่เบื้องหลังฉากบู๊ในภาพยนตร์และละครแนวพีเรียด คงต้องยกให้ “วัชรชัย สุนทรศิริ” หรือที่รู้จักกันดีกับฉายา “ครูแอ้นท์ ม้าทมิฬ” ที่วันนี้เขาได้ขยับบทบาทมาอยู่เบื้องหน้า กับหลากหลายคาแร็กเตอร์ที่สร้างความประทับใจให้แฟนๆ สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้ “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” จึงขอหยิบเส้นทางชีวิต กว่าจะมาเป็น “ครูแอ้นท์” ในวันนี้ให้ทราบกัน
จุดเริ่มต้นของความบู๊
ย้อนไปนิดหนึ่งครับ ตั้งแต่ที่จบจากวิทยาลัยพลศึกษาชลบุรี เมื่อปี 2532 ผมเรียนมาทางด้านกีฬา ศิลปะป้องกันตัว แม่ไม้มวยไทย ดาบไทยมา ก็เลยมีพื้นฐานเกี่ยวกับศิลปะป้องกันตัวอะไรที่เป็นไทยๆ หลังจากนั้นก็เลยมีโอกาสได้ไปทำงานที่ซาฟารีเวิลด์ ได้ไปศึกษาการขี่ม้าที่นั่น คือจะไปเป็นคาวบอย อยากเป็นนักแสดงโชว์ แต่ว่าเราต้องเริ่มจากการไปเป็นคนเลี้ยงม้าก่อน ไปฝึกม้าเอง ครูพักลักจำ โดยไม่มีสูตรอะไร ตกม้าทุกวัน(หัวเราะ) หลังจากนั้นเขาก็มีผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ เหมือนเป็นบริษัทหนังใหญ่ๆ มาสอนการเป็นสตันท์ให้ ซึ่งผมเป็นยุคบุกเบิกเลยครับ ที่แสดงโชว์เป็น 3-4 คนแรกในแผนกนี้ได้ทำการแสดงคลุกคลีอยู่กับม้า โชว์ไฟเผาตัว ขี่เรือ ขี่เจ๊ทสกี โหนสลิงตกน้ำมาตลอด 9 ปี จนได้มีโอกาสไปดูงานที่อเมริกา ได้ไปดูโชว์ต่างๆ ตรงนั้นก็เป็นจุดเปลี่ยน เพราะว่าเราชอบโชว์สไตล์คาวบอย ชอบม้าอยู่แล้ว นั่งดูนั่งพิจารณาว่าเราโชคดีนะ ที่มีโอกาสได้มาเห็นตรงนี้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลยรู้สึกว่าเรามีตัวตน พอกลับมาบ้าน เราก็จะใช้วิชาที่มีเอามาพัฒนา เป้าหมายคืออยากจะให้นักแสดงที่อยู่ในเมืองไทยได้ขี่ม้า โดยการใช้ความสามารถของตัวเอง เราเองก็จะได้ใช้ความสามารถของเราที่มีที่เราได้เรียนมา เอามาผสมผสาน แล้วก็ยังได้ไปที่มาเลเซียต่ออีก ไปทำโชว์อยู่ที่นั่น 3 ปี เซตเป็นเมืองคาวบอยเลยคือเรายืนด้วยลำแข้งของตัวเองแล้วล่ะ แล้วก็มาหาทีมสตันท์ของตัวเองที่เมืองไทย เรียกว่าเราเป็นสเตจโชว์ก่อน เพราะว่าถนัดมาทางนี้ หลังจากกลับจากมาเลเซียก็ได้ไปอินโดนีเซีย
ขยับเข้ามาสู่งานภาพยนตร์
คือมีพี่คนหนึ่งที่อยู่บริษัท “พร้อมมิตร”ชื่อ “พี่แขก” ได้ชวนให้ไปเข้าฉากขี่ม้าเป็นนักแสดงในหนัง มีนักแสดงฝรั่งเขาอยากจะดู ซึ่งก็แสดงว่าคงจะมีคนไปคุยว่าถ้าเป็นม้าก็น่าจะเป็นคนนี้นะ ผมก็เลยเป็นคนแรกที่ได้เป็นสตันท์เอที่ขี่ม้า แต่ตอนที่แคสนั่น ตกม้านะ แต่ที่เขาเลือกเรา ก็เพราะเรื่องเซฟตี้ เราเป็นคนเดียวที่ใส่อุปกรณ์เซฟตี้ร่างกาย เขาเห็นการแสดงเห็นความสามารถของเรา ฝรั่งก็ชอบในเรื่องของการเซฟตี้ ซึ่งผมก็ได้เป็นสตั้นท์ในภาพยนตร์เรื่อง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวร” ได้ดูแลเทคแคร์ฝรั่งในทีมขี่ม้าด้วย เพราะเรื่องภาษาเราก็พอได้ ผมยังไม่ได้เป็นนักแสดงเลยครับ ยังอยู่แค่เบื้องหลังอยู่ แต่ถ้าใครได้ดู “ตำนานสมเด็จพระนเรศวร” แล้วสังเกตดีๆ จะเห็นหน้าคนนี้ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายบ่อยมาก เปลี่ยนสัญชาติเยอะแยะมากมาย (หัวเราะ) เล่นเป็นหลายตัวมาก ก็อยู่กับ “ท่านมุ้ย” กับกองถ่ายตำนานสมเด็จพระนเรศวรที่กาญจนบุรี 10 กว่าปีครับ ตั้งแต่ภาคแรกจนถึงภาคสุดท้าย แล้วท่านก็เมตตาให้ได้เล่นเป็นตัวแสดงตัวหนึ่งชื่อ “ออกญาศรีไสยณรงค์” นั่นคือตัวละครตัวแรกที่มีบทบาทได้แต่งตัวเป็นขุนศึกในเรื่องและได้มีโอกาสพัฒนาตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะว่าอายุเราก็มากขึ้นนะครับ เราก็คงจะไม่มาตกม้าอยู่ตลอดเวลา เลยพยายามฝึกตัวเองหน้ากระจกบ้าง เล่นแอ๊กติ้งบ้าง ถามแฟนว่าใช้ได้ไหม หน้าตาอย่างนี้ เราคงจะไปเล่นแทนใครตลอดไม่ได้ ในตัวกระดูกหักไป 8 ครั้งแล้วครับ แอบไปพักหลบเลียแผลใจบ่อยมาก (หัวเราะ) ต้องพัก 45 วัน บางทีไม่ถึงครับ 2 อาทิตย์ก็ยังต้องมาขี่ม้าต่อ
เปิดตัวสู่งานเบื้องหน้า
จาก “ตำนานสมเด็จพระนเรศวร” ทำให้เหมือนเป็นจุดประกายว่าเราก็สามารถทำการแสดงเบื้องหน้าได้ แต่เรื่องที่เป็นการแจ้งเกิดเลยคือจากเรื่อง “บางระจัน” ละครของ “พี่หน่อง-อรุโณชา” ผมเล่นเป็น “กำนันพันเรือง” แล้วก็มาเล่นเรื่อง“ข้าบดินทร์” เป็นเจ้าบดินทร์เดชา ทุกคนรู้จักทั่วฟ้าเมืองไทย ตามมาด้วยเรื่อง “ชาติพยัคฆ์” เป็นไอ้ยอดที่คอยต่อยตีพระเอก แล้วก็มา “บุพเพสันนิวาส”, “คมแฝก” มีละครเข้ามาเรื่อยๆ ตอนนี้ก็เลยมาอยู่เบื้องหน้ามากขึ้น สนุกครับมันเป็นอะไรที่ท้าทาย แต่ว่าเบื้องหลังก็ยังไม่ทิ้งนะ ก็ยังมีคนจ้างให้ไปสอน และก็ยังเป็นผู้ดีไซน์คิวบู๊ด้วย อย่างเรื่อง “ชาติพยัคฆ์” ก็เป็นคิวบู๊ที่เราทำมาทั้งเรื่องเลย และเล่นด้วย ต่อสู้ด้วย “คมแฝก” ก็ด้วยครับ ซึ่งนี่จะเป็นในส่วนของการดีไซน์ แล้วจะมี “ครูเป็ด” ที่มาช่วยด้วย
สิ่งที่ชำนาญที่สุด
ตอนนี้ทุกคนก็ให้ฉายาว่า “ครูแอ้นท์ ม้าทมิฬ”ก็คงจะเป็นเรื่องม้าแหละครับ เรื่องการขี่ม้า การต่อสู้บนหลังม้า เพราะว่าเราได้เรียนจากครูสอนขี่ม้าเป็นมาตรฐานสากล จากตำรวจม้าที่อเมริกา เราก็เอาความรู้นั้นมาถ่ายทอดให้เด็กๆ และดาราทั่วฟ้าเมืองไทยเรียกว่าแทบจะทั้งวงการ จำชื่อไม่ได้ เอาว่าเป็นเรื่องๆ ดีกว่า “ตำนานสมเด็จพระนเรศวร”, “ผู้ชนะสิบทิศ”, “บางระจัน” คือทั้งหนังทั้งละครที่เป็นพีเรียด น่าจะผ่านมือครูแอ้นท์นะครับ (ยิ้ม) นักแสดงส่วนใหญ่ที่ขี่ม้า ผมก็ภูมิใจที่ได้สอน แล้วเขาก็เอาไปใช้ ต้องขอโทษเรื่องอื่นที่ไม่ได้พูดถึง คือมันเยอะจริงๆ รวมถึงทุกคนที่มาเรียนกับครูแอ้นท์คือภูมิใจหมด
ที่มาของฉายา “ครูแอ้นท์ ม้าทมิฬ”
ได้มาจากรายการ “กระบี่มือหนึ่ง” ทางช่อง 7ซึ่งเราชนะได้เป็นที่ 1 ของเมืองไทยเรื่องสตันท์ม้าก็เลยได้ฉายา “ครูแอ้นท์ ม้าทมิฬ” ซึ่งถามความรู้สึกก็คือดีใจมาก เพราะว่าไปไหนคนก็รู้จัก คือชื่อนี้กว่าเราจะได้มา จะต้องบุกป่าฝ่าดงมาเยอะ ก็ภูมิใจแบบสุดๆชื่อนี้มันเหมือนเป็นซิกเนเจอร์เราไปแล้ว แต่ช่วงแรกก็ไม่ได้คิดอะไรนะครับ คิดว่าเป็นงานที่เรารักเราชอบ เป็นสิ่งที่เราอยากจะทำแค่นั้นเอง ตอนหลังพอมีคนนั้นมาอยากเรียนเราก็มีโอกาสที่จะสอนคนนั้นคนนี้เขาก็ไปพูดต่อพูดในทางบวกเชื่อไหมครับว่าล่าสุดมีน้องนักแสดงคนหนึ่งที่เพิ่งเป็นพระเอก เขาก็ไปถามหาว่าจะเรียนขี่ม้าที่ไหนได้นะ ก็มีรุ่นพี่แนะนำให้มาหาครูแอ้นท์ เขาหาอยู่เดือนหนึ่งกว่าจะได้เบอร์ครูแอ้นท์และดั้นด้นไปหากันถึงเมืองกาญจน์จนได้เรียนในที่สุด
ชีวิตนักบู๊ที่ผูกพันกับม้า
25 ปีอยู่บนหลังม้า ผมก็นับไม่ถ้วนนะครับ ว่าม้าผ่านมือเรามาแล้วกี่ตัว อย่างตอนที่อยู่ซาฟารีเวิลด์เราก็จะมีม้าอยู่ตัวหนึ่งชื่อ “เบส” ซึ่งเราก็ชอบนะ เพราะว่าเขาสนุกมาก คือเรียกว่านับไม่ถ้วนดีกว่าว่ากี่ตัว เราต้องไปกินนอนอยู่กับเขาเลยในช่วงแรก เพราะว่าเราต้องดูแลในเรื่องของเวทีด้วย และเราก็ยังเป็นวัยรุ่น ก็เลยชอบที่จะอยู่ตรงนั้น อยากผจญภัยเลี้ยงม้าไปผูกพันกันไป ม้าฝูงหนึ่งที่เราเลี้ยงก็ไม่ต่ำกว่า 30 ตัวนะแล้วเราเลี้ยงเขาแบบปล่อยไล่ทุ่ง กว่าเราจะจับจะไล่ต้อนเข้ากรงได้ แต่เราก็ไม่ได้กลัว ไม่ได้คิดอะไร คิดแต่สนุกอย่างเดียว และมันได้ตังค์ด้วย เราได้เรียนรู้ในสิ่งที่เราไม่เคยได้เรียน เราอยากจะเป็นคาวบอย ชีวิตคาวบอยมันต้องเป็นลูกทุ่งจริงๆ อาชีพอื่นที่ไม่เจ็บตัวก็ไม่อยากทำ ผมว่ามันเป็นความชอบส่วนตัวครับ แม้ว่าจะกระดูกหักมาแล้ว 8 ครั้ง แต่มันก็สนุก เป็นชีวิตนักบู๊ (หัวเราะ) เวลานี้ก็ยังสนุกอยู่ แล้วยิ่งได้เห็น “ก็อต-จิรายุ” เป็นน้องที่เราเห็นมาตั้งนานแล้วและเขามีอะไรมันก็เหมือนเป็นครูที่เรามองลูกศิษย์ เขามีพลังมากมีไฟมาก เราก็ยังมีความรู้สึกว่าเอาหน่อยนะ แม้ว่าจะไม่ได้เท่าน้อง ก็เอาเท่าที่เราได้เรามีและพัฒนาในสิ่งที่เราขาดให้มันดีขึ้น เป็นตัวเราหลายคนเป็นไอดอลผมเลยนะ เราก็เอาสิ่งดีๆ ของเขามาพัฒนาตัวเรา
ณ วันที่ตัดสินใจเลือกเส้นทางสายบู๊
ที่บ้านเขาเจ็บครับ แม่เห็นเราก็จะสงสาร ถามเราตลอดว่าเจ็บไหม แต่ก็บอกท่านไปว่ามันคือการแสดง คือก็เจ็บแหละ แต่เราก็ไม่อยากให้แม่รู้ จริงๆ ต้องบอกว่าคุณแม่ผมเป็นนักแสดงเก่านะครับ “ประยูรศรี สุนทรศิริ” ท่านเป็นนักแสดงและเป็นนักพากย์ เลยอยากให้เราเข้าวงการ ตอนที่ผมจบ ม.3ท่านก็บอกว่าจะฝากผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการให้ แต่ผมไม่เอาเอง คือเราไม่มีความสามารถ ตัวก็ดำ หน้าตาก็ไม่ดี มีแต่จะไปทำให้เขาเสียเวลา แล้วเราเป็นคนขี้อายด้วย ณ ตอนนั้นนะครับ คือเรามองหาความสามารถเราไม่เจอเลย เราเป็นใคร ก็เลยบอกแม่ว่าเดี๋ยวสักวันผมจะเข้าไปอยู่ในวงการเอง จะใช้ความสามารถของผมเอง แม่คอยดูนะ แล้วไม่นานด้วย หลังจากนั้นก็เลยตั้งต้นเรียนวิทยาลัยพลศึกษามาตั้งแต่ ม.ปลาย จนจบประกาศนียบัตรชั้นสูง แต่ก็ยังไม่ได้คิดนะว่าจะเข้าวงการ คิดแต่ว่าอยากจะเป็นนักยิมนาสติก หรืออะไรสักอย่าง และคิดว่าทักษะนี้ความคล่องตัวมันสูง สมัยก่อนผมวิ่งไต่กำแพงนี่สบายเลยครับ วิ่งไปตีลังกายันกำแพงได้ ชอบดูหนังต่อสู้กำลังภายในด้วย
แลกกับความเจ็บ
ถ้าเราพูดถึงเรื่องรายได้ มันก็ดีกว่างานประจำที่เราทำทั่วไป คือค่าตอบแทนมันก็พอได้ซื้อปลา ซื้อปลาทู ซื้อผักต้มให้ลูกกิน (หัวเราะ) ดีครับๆมันก็คุ้มกับการบาดเจ็บ การเจ็บปวดของร่างกายเราแหละครับ เราสามารถที่จะยืนอยู่ได้ด้วยตัวเองทุกอย่างในสิ่งที่เราตั้งเป้าหมายในชีวิตมันก็เริ่มขมวดเข้ามา บ้านรถเราก็สามารถที่จะมีเป็นของตัวเองมีครอบครัวที่น่ารัก มีภรรยาที่น่ารักคอยเป็นเพื่อนไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด
ไอดอลของลูกๆ
ผมมีลูก 3 คน คนโต 27 แล้ว ขี่ม้าอยู่ด้วยกันคนที่ 2 เป็นแอร์ครับ ส่วนคนสุดท้ายลูกสาวยังเล็กอยู่ ป.6 ซึ่งลูกชายคนโตเป็นผู้ชาย เขาก็เหมือนเจริญรอยตามเราแหละครับ ตอนนี้ก็เข้ามาเต็มตัวแล้วใน “คมแฝก” เขาก็บู๊ “บุพเพสันนิวาส” ก็เล่นด้วยกัน จริงๆ ผมไม่ได้ฟิกซ์นะว่าลูกต้องเข้าวงการเหมือนเรา คือแล้วแต่เขาเลย เพราะว่ามันคือการดีไซน์อนาคตของเขาเอง แค่เราอาจจะมีกรายๆ ฝึกเขาให้รู้จักศิลปะ ก็จะคอยบอกคอยสอนว่างานทุกอย่างขอให้เป็นงานสุจริตคือดีหมด เราต้องเคารพทุกงาน งานที่สามารถสร้างรายได้ให้เราและเป็นงานสุจริตนั่นคือดีที่สุดแล้ว เราก็เหมือนเป็นไอดอลของเขาครับคือแอบไปดูในโซเชียลเขาก็เห็นว่าเขาโพสต์ถึงพ่อตลอด ผมไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงแต่รู้ว่าเขาอยากทำก็ดีครับสนับสนุนเราจะมีไลน์กลุ่มคุยกันวันนี้มาซ้อมหน่อยนะเขาก็จะมาเราก็มาดีไซน์กัน (มีทายาทสืบทอดแล้ว ?) เขาก็ว่ากันอย่างนั้นครับ แต่ว่าเราก็ยังยืนอยู่ตรงนี้ ยังไม่ได้ไปไหน คิดว่าเรายังต้องเดินไปอีกเยอะ ขึ้นก็คือขึ้นแต่จะขึ้นยังไงไม่ให้หายไป คือเราจะต้องมีซิกเนเจอร์ของเรา เพื่อที่ทุกคนจะได้กล่าวถึงและทุกคนจะได้เห็นเราไม่ว่าจะเล่นตัวไหนหรือตำแหน่งไหนเขาก็ยังเห็นว่านี่คือ “ครูแอ้นท์ ม้าทมิฬ”
ชีวิตขาขึ้น
ดีครับ มันแล้วแต่เวลาจังหวะชีวิต มันก็ไม่ได้ว่าเลวร้ายนะสมัยก่อนทำงานก็เหมือนเป็นพระเอกนะเพียงแต่ว่าเราไม่ได้โชว์หน้าตาเท่านั้นเอง ทุกวันนี้ไปไหนคนจำได้หมดแล้วครับ แต่งตัวไม่ดีไม่ได้แล้วนะ(หัวเราะ) เมื่อก่อนยังไงก็ได้ แฟนจะบอกอยู่เสมอว่าให้แต่งตัวดีหน่อยนะ เราเป็นนักแสดงแล้วอยู่เบื้องหน้าแล้วเป็นผู้ใหญ่ด้วยลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง เพราะว่าปกติเราจะเป็นคนง่ายๆ แล้วที่สำคัญคือพยายามศึกษาดูหนังเยอะๆ เน้นหนังเรื่องการต่อสู้ ต้องใฝ่หาความรู้และคิดท่าเองด้วยให้เป็นสัญลักษณ์ของเรา
โปรเจกท์ที่อยากจะทำ
ตอนนี้มีพี่คนหนึ่งที่เปิดฟาร์มม้าอยู่ โดยส่วนตัวเองก็คิดว่าเราน่าจะมีอะไรที่เป็นยิมไว้บ้างก็ดี ก็เลยดีไซน์ไว้ว่าจะเปิดสอนด้านอาวุธไทยโบราณ พวกมวยไทยและการขี่ม้า คิวบู๊ คือเอามาดีไซน์เป็นโปรเจกท์ที่อยากทำมากและตอนนี้ก็ไฟเขียวแล้วครับรอโปรโมทอย่างเป็นทางการเร็วๆ ขอจัดแจงอะไรให้ลงตัวนิดหนึ่งก็น่าจะเปิดได้แล้วครับ สำหรับใครที่สนใจจะมาเรียนกับครูแอ้นท์ก็สามารถติดต่อเข้ามาได้ทางไอจีant_sundarasiri หรือที่เฟซบุ๊คครูแอ้นท์ ท้าทมิฬ ได้เลยครับ ครูแอ้นท์ตัวจริงเสียงจริงยินดีต้อนรับครับ แต่ต้องบอกว่าถ้าใครที่อยากจะเป็นแบบผม ใจคุณต้องมาก่อนว่าคุณรักที่จะทำตรงนี้หรือเปล่า ไม่ได้มาเล่นๆ เพราะว่าชีวิตมันทดลองกันได้ไม่กี่ครั้งพรุ่งนี้เราจะเจ็บจะเสียชีวิตเราไม่สามารถรู้ได้เลยอนาคต แต่ผมเองสาหัสมาเยอะแล้วครับก็เลยเฉยๆ ที่เจ็บ 8 ครั้ง มันท้อทุกครั้งแหละครับ แต่ว่าก็ไม่ถอยมีแต่แรงที่จะผลักให้เราว่าต้องไปต่อ ไม่เคยผ่าเลยครับ ในร่างกายไม่เคยผ่าตัดเลยสักครั้งเดียว
อาชีพนี้ที่เลือกแล้ว
เกือบ 30 ปีแล้วนะครับที่อยู่ตรงนี้ ก็ถือว่าลงทุนมาเยอะแล้วคงไปทำอาชีพอื่นไม่ได้แล้วครับ (หัวเราะ) เรียกว่าน่าจะบู๊จนเข้ากระดูกดำไปแล้ว แต่เราก็ไม่ได้เอาวิชาของเราไปตีไปต่อยกับใครเขา เราแค่ป้องกันตัวเองและหลบหลีกจากเหตุการณ์นั้นได้ก็โอเคแล้วครับ และอีกอย่างคือจะมีคนข้างๆ ก็คือภรรยาที่คอยเตือนสติว่าคุณพ่ออย่าใจร้อน แล้วเราก็จะค่อยๆ เย็นลง
ความในใจฝากถึงแฟนๆ
ต้องขอบคุณมากๆ คือเรามีโอกาสได้เป็นฟรีแลนซ์ก็มีคนตามไอจีตามเฟสมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง แล้วเขาก็มีส่งข้อความมาขอเรียนมาทักทายชื่นชมให้กำลังใจนี่คือเยอะมาก ตอนนี้ไอจีระเบิดแล้วครับผมเป็นคนที่อ่านแล้วก็ตอบด้วยนะ อาจจะไม่ได้เขียนแต่ก็กดไลค์แล้วก็ส่งสติ๊กเกอร์ทุกคนแน่นอน ก็คือเขามีเวลามาอ่านเรามาตามเรา เรารู้สึกว่าเขาให้ความสำคัญเรา เราก็ต้องให้ความสำคัญเขา ส่วนตัวแล้วก็จะยังสร้างสรรค์ผลงานต่อไปเรื่อยๆ ถ้ามีผู้ใหญ่ยังเมตตาเราอยู่ แล้วก็สนุกกับตรงที่เราอยู่เบื้องหน้า อย่างที่เรามาคุยกันวันนี้ก็เป็นกองใหม่ที่ท่านเมตตา สำหรับ “พี่ไก่-วรายุฑ” นะครับ เรื่อง “สัตยาธิษฐาน” ติดต่อเข้ามาตั้งแต่กลางปีที่แล้วและเราก็ได้มีโอกาสมาร่วมงานด้วย ส่วนงานอื่นก็มี “สาปกระสือ”ทางช่อง 8 และมีภาพยนตร์ที่กำลังจะเข้าฉายวันที่28 มิถุนายนนี้ เรื่อง “400 นักรบขุนรองปลัดชู”ส่วนที่เพิ่งจบไปก็ “หนึ่งด้าวฟ้าเดียว” เป็นโอกาสที่ดีครับ ที่มีงานออกมาเรื่อยๆ และได้ร่วมงานกับผู้จัดที่หลากหลายมากขึ้นก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีครับ (ยิ้ม) บู๊ได้ทุกค่ายทุกช่องเรียกใช้บริการได้ครับ”
พูดคุยกันไป ยิ้มไป และกลั้วด้วยเสียงหัวเราะตลอดเวลา เห็นทีต้องเพิ่มฉายา “นักบู๊อารมณ์ดี” ให้ไปอีก สำหรับ “ครูแอ้นท์ ม้าทมิฬ” ผู้อยู่เบื้องหลังการบู๊ของเหล่านักแสดงดังมากมาย
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี