สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อวันที่ 20กันยายน ว่า เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังทราบผลการลงประชามติอย่างเป็นทางการว่า
คนส่วนใหญ่ยังคงอยากให้สกอตแลนด์อยู่กับสหราชอาณาจักร ซึ่งประกอบด้วย อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ ต่อไป ที่ 55 ต่อ 45 เปอร์เซ็นต์ หลังอยู่ด้วยกันมาแล้วถึง 307 ปี ปรากฏว่านายอเล็กซ์ ซัลมอนด์ นายกรัฐมนตรีสกอตแลนด์ และหัวหน้าพรรคชาตินิยมสกอตแลนด์ หรือ SNP วัย 59 ปี ผู้ผลักดันนโยบายดังกล่าวได้แถลงลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคชาติ SNP ทันที เพื่อแสดงความรับผิดชอบ และผิดหวังต่อผลการลงประชามติที่เพิ่งจบลงไป
นายซัลมอนด์ ซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะรัฐมนตรี(First Minister) หรือนายกฯของสกอตแลนด์ มานานถึง 7 ปี และเป็นผู้นำพรรค SNP กว่า 20 ปี แถลงลาออกจากทั้ง 2 ตำแหน่งเมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา (ตามเวลาท้องถิ่น) โดยชี้ว่าพรรค SNP และรัฐสภาสกอตแลนด์ จะได้ประโยชน์จากผู้นำเลือดใหม่ พร้อมเตือนนายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ไม่ให้กลับคำพูดที่เคยสัญญาว่าจะผ่องถ่ายอำนาจไปให้กับรัฐสภาสกอตแลนด์ เพื่อให้มีอำนาจปกครองตนเองมากขึ้นภายใน 6 เดือน
“ผมมีความภาคภูมิใจกับการรณรงค์ที่สร้างขึ้นและตัวเลขของผู้ออกมาใช้สิทธิ์ที่ 85 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่ามากเป็นประวัติการณ์ และสำหรับสกอตแลนด์ แคมเปญนี้ยังไม่จบ และความฝันยังคงไม่ตาย” นายซัลมอนด์ กล่าว
ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าเกิดความตึงเครียดขึ้นบริเวณใจกลางเมืองกลาสโกว์ เมืองใหญ่ที่สุดในสกอตแลนด์เมื่อวันศุกร์ เมื่อผู้สนับสนุนการแยกสกอตแลนด์เป็นประเทศเอกราชได้ชุมนุมประท้วงที่จัตุรัสจอร์จ ทำให้ตำรวจม้าต้องปิดถนนเพื่อสลายผู้ชุมนุม ผู้สนับสนุนการแยกสกอตแลนด์บางคนไม่แน่ใจว่ารัฐบาลอังกฤษจะเพิ่มอำนาจให้สกอตแลนด์ตามที่รับปากไว้จริงหรือไม่ และเห็นว่าการที่นายซัลมอนด์ ประกาศจะลาออกจากตำแหน่ง เพื่อแสดงความรับผิดชอบที่พ่ายแพ้เป็นเหมือนการยอมรับว่าสกอตแลนด์อยู่ภายใต้อังกฤษ และเห็นสมควรที่จะมีคนรุ่นใหม่เข้ามาสานต่อความเคลื่อนไหวนี้ต่อไป
ด้านสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งราชวงศ์อังกฤษ ทรงออกแถลงการณ์จากปราสาทบัลเมอรัลในสกอตแลนด์ที่พระองค์ได้เสด็จแปรพระราชฐาน หลังนายซัลมอนด์ ประกาศลาออกจากตำแหน่งได้ไม่นาน โดยเรียกร้องให้ทุกคนในอังกฤษ เคารพผลการลงประชามติของสกอตแลนด์ ทรงเข้าใจดีว่าผลประชามติอาจกระทบอารมณ์และความรู้สึกของชาวสกอตหรือคนอื่นๆ หรือสร้างความรู้สึกที่ขัดแย้งภายในครอบครัว ในหมู่เพื่อน หรือเพื่อนบ้าน แต่นั่นเป็นเรื่องธรรมดาในประเทศที่มีประเพณีประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง และอารมณ์ความรู้สึกที่ขัดแย้งนี้จะบรรเทาเบาบางลงได้ หากเราพยายามเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น
สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 ทรงรับสั่งต่อไปว่า แม้ชาวสกอตจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างดังที่ได้แสดงออกมาในการลงประชามติครั้งนี้ แต่ทรงเชื่อมั่นว่าชาวสกอตที่พระองค์รู้จักดี จะสามารถอยู่รวมกับอังกฤษ ด้วยจิตวิญญาณแห่งการเคารพและสนับสนุนซึ่งกันและกัน เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไป
ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ได้ประกาศหลังทราบผลการลงประชามติ ว่า จะให้อำนาจปกครองตนเองกับสกอตแลนด์มากขึ้น ทั้งในด้านภาษี งบประมาณ และสวัสดิการสังคม โดยจะตกลงในรายละเอียดกันเสร็จสิ้นภายในเดือนพฤศจิกายน และออกร่างกฎหมายได้ภายในเดือนมกราคมปีหน้า และเมื่อถึงจุดนั้นในทางกลับกันผู้แทนสกอตจะไม่มีสิทธิออกเสียงในทุกเรื่องที่เกี่ยวพันกับอังกฤษในรัฐสภาอังกฤษได้ หรือ “อังกฤษเท่านั้นโหวตเพื่ออังกฤษ”
ส่วนบรรดาหนังสือพิมพ์ในอังกฤษ ส่วนใหญ่แสดงความโล่งใจที่ผลการลงประชามติในสกอตแลนด์ชี้ว่าเสียงคัดค้านการแยกตัวจากสหราชอาณาจักรเป็นฝ่ายชนะ แต่ก็เตือนว่าสิ่งที่กำลังจะตามมาคือ การต่อสู้เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ อันเป็นผลจากการรณรงค์หาเสียงของทั้งฝ่ายคัดค้านและฝ่ายสนับสนุนการแยกตัว โดยบทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์เตือนว่า ขณะนี้ไม่ใช่เวลาของการฉลองชัยชนะ การที่ชาวสกอตปฏิเสธการแยกตัวไม่ใช่การยุติข้อถกเถียงเรื่องรัฐธรรมนูญอังกฤษ และจำเป็นต้องมีการแก้ไขเพื่อตัดสินใจว่า ส.ส.สกอต ควรจะมีบทบาทใดในรัฐสภาอังกฤษ และควรกระจายอำนาจจากศูนย์กลางมากขึ้นหรือไม่
ส่วนบทความในหนังสือพิมพ์เดลีเทเลกราฟ ซึ่งเป็นสายกลางขวา ระบุว่า การที่นายกรัฐมนตรีคาเมรอน ของอังกฤษ กล่าวว่าอังกฤษต้องมีข้อตกลงเดียวกับสกอตแลนด์ ได้ส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อการปกครองในสหราชอาณาจักร คาดว่าในอนาคตสหราชอาณาจักรจะมีความเป็นสหภาพน้อยลง แต่จะเป็นสหพันธรัฐมากขึ้น
ขณะที่บทบรรณาธิการของเดอะการ์เดียน ซึ่งเป็นสายกลางซ้ายเห็นเช่นเดียวกันว่า ระบบการเมืองทั้งหมดของสหราชอาณาจักรจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง การที่ชาวสกอตร้อยละ 45 ลงมติว่าต้องการแยกตัวอาจเกิดจากความไม่พอใจส่วนตัวมากกว่าประเด็นรัฐธรรมนูญ แบบจำลองทางเศรษฐกิจที่ใช้กับสกอตแลนด์มานานมีปัญหา ทำให้กระแสชาตินิยมกลายเป็นทางเลือก แต่ในขณะเดียวกันแบบจำลองที่มีปัญหาดังกล่าวก็กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ทั้งสกอตแลนด์ อังกฤษ เวลส์ และไอร์แลนด์ ต้องอยู่รวมกันมากกว่าที่จะแยกจากกัน
อีกด้านหนึ่ง สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน ว่า เมื่อวันที่ 20 กันยายน ที่ผ่านมา นายอาร์เทอร์ มาส ประธานาธิบดีแห่งแคว้นคาตาลัน ได้แถลงหลังสภาแห่งแคว้นมีมติเสียงข้างมากท่วมท้น 106 ต่อ 28 เสียง ผ่านร่างกฤษฎีกามอบอำนาจให้ประธานาธิบดีสามารถจัดการลงประชามติได้ว่าด้วยการแยกเอกราชออกจากสเปนได้ เพื่อให้เกิดการ “แลกเปลี่ยนความคิดเห็น” ในวันที่ 9 พฤศจิกายน นี้ อย่างไรก็ตามมีแนวโน้มสูงมากว่าศาลรัฐธรรมนูญของสเปนจะมีคำวินิจฉัยระงับการจัดลงประชามติของชาวคาตาลัน ภูมิภาคที่มีฐานะมั่งคั่งที่สุด ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ ในวันอังคารนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี