รัฐบาลเวียดนามแถลงออกมาเป็นครั้งแรกว่า รัฐบาลไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว นอกจากจะต้องเข้าจับกุมพวกนักธุรกิจซึ่งประกอบอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ถึงแม้จะเป็นที่เชื่อกันอย่างกว้างขวางในเวียดนาม ว่า การจับกุมเหล่านี้เป็นการบังคับใช้กฎหมายแบบเลือกปฏิบัติ โดยมีแรงจูงใจจากการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกันภายในหมู่นักการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์
ในระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนของรัฐบาลเมื่อวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา ได้มีผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมมีผู้ประกอบการธุรกิจจำนวนมากถูกจับกุมในช่วงไม่กี่เดือนหลังๆ มานี้ คำตอบที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสผู้หนึ่งก็คือ “ถึงแม้เราไม่ได้ต้องการทำอย่างนั้น แต่เราก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว”
คำตอบของเขาปรากฏออกมา ในขณะที่พวกผู้สังเกตการณ์ต่างกำลังตั้งคำถามฉงนฉงายเกี่ยวกับการจับกุมนักธุรกิจคนสำคัญ 2 คน เมื่อเร็วๆ นี้ ด้วยข้อหาดังกล่าว นักธุรกิจ 2 คนนี้คือ เจิว ถิ ทู งา (Chau Thi Thu Nga) และ ห่า วัน ทั้ม (Ha Van Tham)
เมื่อเดือนที่แล้ว เจิว ถิ ทู งา ซึ่งเป็นสมาชิกสภาแห่งชาติจากฮานอย ได้ถูกสภาสั่งระงับการเป็นสมาชิก เนื่องจากเธอถูกกล่าวหาว่ามีพฤติการณ์หลอกลวงฉ้อฉลในโครงการก่อสร้างที่พักอาศัย และถูกนำตัวไปคุมขังเพื่อดำเนินการสอบสวนต่อไป ตามรายงานของสำนักข่าวเวียดนามนิวส์ (Vietnam News Agency) จากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า งา ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานและกรรมการอำนวยการของ บริษัทร่วมหุ้น แลนด์ แอนด์ เฮาซิ่ง คอนสตรักชั่น แอนด์ อินเวสต์เมนต์ (Land and Housing Construction and Investment JSC เรียกกันย่อๆ ว่า เฮาซิ่ง กรุ๊ป Housing Group) ด้วย ได้เรียกเก็บเงินกว่า 377,000 ล้านด่ง (17.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากพวกนักลงทุนเพื่อใช้ในโครงการที่อยู่อาศัยหลายโครงการ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการประชาชนฮานอย (Hanoi People’s Committee) หรือได้รับใบอนุญาตทำการก่อสร้างเลย
ก่อนหน้านั้น ห่า วัน ทั้ม นักธุรกิจใหญ่คนหนึ่งในเวียดนาม ก็ถูกจับกุมเมื่อเดือนตุลาคมปีก่อน ในข้อหาหลอกลวงฉ้อฉลเกี่ยวกับการปล่อยเงินกู้หลายคดี ทั้ม ยังถูกธนาคารกลางของเวียดนามสั่งถอดออกจากตำแหน่งประธานของธนาคารโอเชียน ซึ่งเป็นธนาคารเอกชน
ฝ่าม จิ สุง นักหนังสือพิมพ์และบล็อกเกอร์อิสระ ให้ความเห็นกับวิทยุเอเชียเสรี ว่า เท่าที่ผ่านมาตำรวจได้เข้าจับกุมพวกผู้ประกอบการและนักธุรกิจอย่าง ทั้ม และ งา เรื่อยมาในข้อหาประกอบอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ แต่จนกระทั่งถึงเมื่อเร็วๆ นี้เอง เราจึงได้ยินคำอธิบายจากเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสที่บอกว่า “เราต้องจับกุมพวกเขาเพราะเราไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว” นี่ต้องถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติอย่างมากๆ เพราะเมื่อก่อนพวกเขาไม่ได้พูดหรืออธิบายอะไรทั้งนั้น เพิ่งมาอธิบายกันในตอนนี้ จึงทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า ทำไมก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่พูดไม่อธิบาย?
“แล้วทำไมพวกเขาจึงเจาะจงอธิบายเฉพาะในคดีของ ห่า วัน ทั้ม กับ เจิว ถิ ทู งา เท่านั้น แต่ไม่พูดถึงคดีอื่นๆ? หรือว่าจะเป็นอย่างที่เขาพูดกันว่า เพราะ ห่า วัน ทั้ม เป็นคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่ง เช่นเดียวกับ เจิว ถิ ทู งา ก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกคนหนึ่ง?”
ฝ่าม จิ สุง ชี้ว่า ปกติแล้วการกวาดจับขนานใหญ่เช่นนี้ มักเกิดขึ้นก่อนหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นผู้ปกครองเวียดนามจะจัดกิจกรรมทางการเมืองครั้งสำคัญๆ ซึ่งจะมีผลต่อฐานะตำแหน่งของนักการเมืองภายในพรรคอย่างใหญ่หลวง เขาบอกว่า “การจับกุมผู้ประกอบการนักธุรกิจนั้น ไม่ใช่ลูกไม้กลเม็ดที่พรรคหรือรัฐบาลนำออกมาใช้เพื่อต่อต้านนักธุรกิจทั้งหลาย โดยพุ่งเป้าไปที่ผู้ประกอบการบางคนเท่านั้น เป็นผู้ประกอบการซึ่งว่ากันว่าได้รับความอุปถัมภ์จากนักการเมืองบางคน” และว่า “ฝ่ายหนึ่งจับคนของอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อเป็นการบีบคั้นกดดันฝ่ายหลัง จากนั้นแล้ว พวกเขาก็จะหารือต่อรองเรื่องการจัดวางฐานะตำแหน่งภายในพรรคกัน แต่ถ้าเมื่อใดพวกเขาไม่สามารถตกลงกันได้ อะไรๆ ก็จะกลายเป็นความยุ่งเหยิงวุ่นวายขึ้นมา และถึงตอนนั้นก็จะมีการแสดงกำลังออกมาให้สาธารณชนได้เห็นกัน”
ยังมีคดีทำนองนี้อีกคดีหนึ่ง ได้แก่คดีของ เหวียน ดิ๊ก เกียน ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งของประเทศ เขาถูกจับด้วยข้อหาหนีภาษีและค้าของเถื่อน และถูกตัดสินจำคุก 30 ปี ไปเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว แต่พวกผู้สังเกตการณ์ที่เฝ้าติดตามคดีของเขาต่างมองว่า เกียนถูกตั้งข้อหาเหล่านี้ เนื่องจากนักการเมืองอีกฝ่ายหนึ่งพยายามสั่นคลอนฐานะตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี เหวียน เติ๊น สุง (Nguyen Tan Dung) ซึ่งเป็นผู้ที่ เกียน ไปผูกพันคบค้า
หนังสือพิมพ์ไซง่อน อีโคโนมิก ไทมส์ (Saigon Economic Times) ฉบับเร็วๆ นี้ ได้เผยแพร่รายงานชิ้นหนึ่งซึ่งอ้างคำพูดของสมาชิกสภาแห่งชาติผู้หนึ่งแต่ไม่ได้เอ่ยชื่อว่าเป็นใคร สมาชิกสภาแห่งชาติผู้นี้บอกว่า พวกผู้ประกอบการ มั่งคั่งร่ำรวยคือตัวแทนของระบบทุนนิยมแบบมุ่งเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้อง การที่คนเหล่านี้ถูกจับกุมคุมขังจึงสืบเนื่องมาจากพฤติการณ์ของพวกเขาเองเป็นสำคัญ
ทว่า เหวียน กวาง อา อดีตผู้อำนวยการของสถาบันการพัฒนาและการศึกษา (Institute of Development and Studies) ซึ่งเป็นองค์กรเอ็นจีโอที่เน้นเรื่องการวิจัยนโยบายของภาครัฐ และมีสำนักงานตั้งอยู่ในกรุงฮานอย ได้บอกกับวิทยุเอเชียเสรีภาคภาษาเวียดนาม ว่า การจับกุมเหล่านี้มักจะเกิดจากแรงจูงใจทางการเมืองมากกว่า เพราะเบื้องหลังของผู้ประกอบการที่ร่ำรวยเหล่านี้ ก็คือผู้ทรงอำนาจระดับบิ๊กซึ่งเป็นผู้ที่ให้ความอุปถัมภ์แก่นักธุรกิจเหล่านี้
นับตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา พวกนักการเมืองกำลังหันมาใช้ยุทธวิธีจับกุมนักธุรกิจที่มีเส้นสายโยงใยกับคู่แข่งของพวกเขากันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเป็นหมากเด็ดในการเสริมส่งฐานะของพวกเขาเองภายในพรรคคอมมิวนิสต์ แต่ว่ามันไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรแก่ประชาชนเลย
เรียบเรียงจาก www.atimes.com
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี