เมียนมาโต้ยูเอ็นอย่าโทษฝ่ายเดียว
ชี้ไม่ได้เป็นต้นเหตุเดียว
ปัญหาผู้อพยพทางเรือ
กรุงเทพฯ/ย่างกุ้ง (เอพี/รอยเตอร์/บีบีซี นิวส์) -ตัวแทนเมียนมาที่เข้าร่วมการประชุมนานาชาติว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดียตำหนิสหประชาชาติ (ยูเอ็น)ว่า เจาะจงวิจารณ์เมียนมาว่าเป็นต้นเหตุปัญหาผู้อพยพทางเรือ จากการเรียกร้องให้ยอมรับว่าชาวโรฮีนจาเป็นพลเมืองของเมียนมา
นายฮติน ลินน์ อธิบดีกระทรวงต่างประเทศเมียนมากล่าวว่า ปัญหาผู้อพยพทางเรือโดยผิดกฎหมายไม่สามารถเจาะจงกล่าวโทษเมียนมาเพียงประเทศเดียว และว่านายโวลเกอร์ ทุร์ก ผู้ช่วยข้าหลวงใหญ่ด้านการคุ้มครอง สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) ทำให้เรื่องผู้อพยพเป็นเรื่องการเมือง จากการกล่าวเปิดการประชุม 17 ชาติที่กรุงเทพฯของไทยในวันนี้ว่า การแก้ไขต้นตอของปัญหานี้อยู่ที่เมียนมาจะต้องรับผิดชอบต่อประชาชนทุกคนอย่างเต็มที่ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการให้สัญชาติแก่ชาวโรฮีนจา อธิบดีกระทรวงต่างประเทศเมียนมากล่าวด้วยว่า เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องภายในประเทศ
ด้านนายแซม ซารีฟี ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียของคณะกรรมการนักนติศาสตร์สากล (ไอซีเจ) แถลงว่า ประเทศในสมาคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) พากันหลบอยู่หลังคำว่า “ไม่แทรกแซงกิจการภายใน” เพื่อทำเป็นมองไม่เห็นปัญหาการข่มเหงชาวโรฮีนจาในเมียนมา ปัญหาเครือข่ายการค้ามนุษย์และลอบนำคนเข้าเมืองที่ขยายวงกว้างขึ้น และปัญหาความต้องการใช้แรงงานผิดกฎหมาย
ขณะที่นางออง ซาน ซู จี เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพและแกนนำฝ่ายค้านเมียนมา ยังคงหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงประเด็นชาวมุสลิมโรฮีนจาในช่วงวิกฤติผู้อพยพ แม้กระทั่งมีเสียงเรียกร้องล่าสุดจากองค์ดาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณทิเบตและได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพเช่นกัน โดยองค์ดาไล ลามะ กล่าวก่อนหน้านี้ว่า เป็นเรื่องน่าเศร้า และหวังว่านาง ซู จี ในฐานะเจ้าของ
รางวัลโนเบลจะสามารถมีส่วนช่วยเหลือได้ อย่างไรก็ตามผู้นำทางจิตวิญญาณทิเบตกล่าวว่า พระองค์ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากสำหรับสถานะของนาง ซู จี ในเมียนมา ซึ่งหากแสดงความช่วยเหลือชาวโรฮีนจามากไปก็อาจถูกวิพากษ์ตำหนิได้ แต่พระองค์ก็ยังมีความหวังว่านาง ซู จี จะสามารถผลักดันบางอย่างได้
ในอีกด้านหนึ่ง นายฮิชามมุดดิน ฮุสเซน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาเลเซีย ระบุจะใช้ค่ายฝึกทหารสองแห่งในรัฐเคดาห์ เป็นที่พักชั่วคราวของผู้อพยพชาวโรฮีนจาที่มาขึ้นฝั่งมาเลเซีย สามารถรองรับได้เพียงแห่งละ 400 คน ซึ่งเป็นมาตรการระยะสั้นจนกว่าจะได้วิธีแก้ไขปัญหาอย่างถาวร ซึ่งประเทศที่เกี่ยวข้องต้องหาวิธีร่วมกันเพื่อดูแลผู้อพยพเหล่านั้น เพราะหากไม่มีประเทศใดรับผู้อพยพ มาเลเซียก็ไม่อาจรับผิดชอบได้แต่เพียงผู้เดียว ก่อนหน้านี้ มาเลเซียยืนยันว่า หลุมฝังศพที่พบจำนวน 139 หลุม ไม่มีหลุมใดที่ใช้ฝังศพหมู่ โดยแต่ละหลุมมีอยู่เพียงศพเดียวเท่านั้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการตั้งข้อสงสัยกันว่าหลุมศพแต่ละหลุมดังกล่าวอาจมีศพผู้อพยพถูกฝังอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละศพ
ที่พบถูกห่อผ้าสีขาวอย่างเหมาะสมและมีการประกอบพิธีอย่างถูกต้อง โดยการขุดศพขึ้นมาก็เพื่อตรวจสอบว่ามีการก่ออาชญากรรม และใช้ความรุนแรงต่อผู้เสียชีวิตเหล่านั้นหรือไม่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี