การเลือกตั้งขั้นต้นแบบไพรมารี่ ในรัฐนิวแฮมป์เชียร์ สะท้อนให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของผู้ชนะทั้งในฝั่งของรีพับลิกัน และเดโมแครต ซึ่งเป็น “คนนอก” ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มการเมืองเดิม ทำให้ผู้สมัครในกลุ่มอำนาจเก่า ต้องทำการบ้านอย่างหนัก ก่อนที่จะไปสู้ศึกเลือกตั้ง “ซูเปอร์ทิวสเดย์” ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นนัดชี้ชะตาว่าใครจะได้เป็นตัวแทนพรรค
ผลการเลือกตั้งขั้นต้นแบบไพรมารี่ที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์ เมื่อวันอังคารที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” มหาเศรษฐีอสังหาริมทรัพย์ ได้รับชัยชนะเหนือคู่แข่งในพรรครีพับลิกันอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับ “เบอร์นี่ แซนเดอร์ส” วุฒิสมาชิกจากรัฐเวอร์มอนต์ ก็มีชัยชนะทิ้งห่าง “ฮิลลารี คลินตัน” ในพรรคเดโมแครต อย่างขาดลอย ซึ่งก็เป็นไปตามความคาดหมายก่อนการเลือกตั้ง โดยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนก่อนการเลือกตั้งขั้นต้นที่นิวแฮมป์เชียร์ชี้ว่า ทรัมป์และแซนเดอร์ส จะคว้าชัยในครั้งนี้ แต่เป็นผลที่ตรงกันข้ามกับการเลือกตั้งขั้นต้นแบบคอคัสที่รัฐไอโอวา ซึ่งเป็นรัฐที่แรกจัดการเลือกตั้งขั้นต้น โดยนายเท็ด ครูซ มีชัยชนะเหนือโดนัลด์ ทรัมป์ และนางฮิลลารี คลินตัน มีชัยเหนือนายแซนเดอร์ส
สำหรับผลการเลือกตั้งไพรมารี่ที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์ นี้ จะสร้างแรงเหวี่ยงเป็นแรงหนุนให้แก่ผู้ชนะในรัฐนี้ ในการเลือกตั้งขั้นต้นครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นในอีกประมาณ 10 วันข้างหน้า โดยในฝั่งของเดโมแครต นายแซนเดอร์ส วัย 74 ปี ซึ่งประกาศตัวเป็นนักสังคมนิยมประชาธิปไตยที่จะปฏิวัติการเมืองของสหรัฐ ได้ขึ้นเวทีปราศรัยต่อผู้สนับสนุน ประกาศชัยชนะทันที หลังทราบผลเลือกตั้ง โดยเขาระบุว่า ชัยชนะในครั้งนี้ของเขาแสดงให้เห็นว่า ผู้คนกำลังบอกว่า ด้วยวิกฤติมากมายมหาศาลที่ประเทศนี้เผชิญอยู่ เป็นเรื่องสายเกินไปแล้วสำหรับการเมืองกลุ่มอำนาจเก่าแบบเดิมๆ และกลุ่มอำนาจทางเศรษฐกิจ พวกเขาต้องการ “การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง”
ส่วนนางคลินตัน ซึ่งพ่ายความนิยมในทุกกลุ่มช่วงอายุ ได้ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ และว่ายังมีงานให้ต้องทำเพื่อทุกๆ คะแนนในการเลือกตั้งขั้นต้น โดยเฉพาะการดึงเสียงสนับสนุนจากคนรุ่นหนุ่มสาว ซึ่งนางตระหนักดีว่าคนอเมริกันมีสิทธิ์ที่จะโกรธเคืองกลุ่มอำนาจทางการเมืองแบบเก่า
สำหรับในฝั่งของรีพับลิกัน นายโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเวทีปราศรัยต่อผู้สนับสนุนหลังได้รับชัยชนะ โดยแสดงความยินดีต่อชัยชนะของนายแซนเดอร์ส คู่แข่งจากพรรคเดโมแครตด้วย และประกาศว่า เขาจะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐที่ดีที่สุดที่พระเจ้าเคยประทานมา
ชัยชนะของทรัมป์ที่นิวแฮมป์เชียร์ ได้ตอกย้ำสถานะตัวเก็งของเขา ซึ่งยังคงมีคะแนนนิยมดีที่สุดในหมู่ผู้สมัครของรีพับลิกัน ถึงแม้ว่าเขาจะเสนอแนวคิดอื้อฉาวเป็นข้อถกเถียงหลายอย่าง เช่น การประกาศจะเนรเทศคนเข้าเมืองผิดกฎหมายหลายล้านคน, จะสร้างกำแพงตลอดแนวชายแดนเม็กซิโก หรือเสนอห้ามชาวมุสลิมเข้าสหรัฐเป็นการชั่วคราวก็ตาม
ประเด็นที่น่าสนใจหลังการเลือกตั้งขั้นต้นที่นิวแฮมป์เชียร์ ก็คือผู้สมัครจากทั้งสองพรรคที่ชนะเลือกตั้ง กลับเป็นผู้สมัครที่ไม่ใช่นักการเมืองหน้าเก่าในการเมืองสหรัฐ แต่เป็น “คนนอก” หรือที่เรียกว่า outsider เพราะทั้ง “เบอร์นี่ แซนเดอร์ส” และ “โดนัลด์ ทรัมป์” ไม่ใช่กลุ่มการเมืองเดิมที่กุมอำนาจในวอชิงตัน หรือที่เรียกกันว่า establishment ซึ่งมักมีสัมพันธ์อันดีกับนักธุรกิจในวอลล์สตรีท ซึ่งชาวอเมริกันรุ่นใหม่มองว่า มีอิทธิพลเหนือการเมืองสหรัฐ และอยู่เบื้องหลังภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
โดยในส่วนของพรรครีพับลิกัน ผู้ที่ไปลงคะแนนเกือบครึ่ง บอกว่าที่ผ่านมา พวกเขาเหมือนถูกพรรคหักหลัง และกำลังมองหาผู้สมัครคนนอก ทำให้ส่วนใหญ่หันไปสนับสนุน ทรัมป์ ซึ่งไม่เคยมีตำแหน่งในรัฐสภามาก่อน โดยทรัมป์ได้คะแนนเสียงได้ทั้งจากรีพับลิกันดั้งเดิมและที่ไม่สังกัดพรรค รวมทั้งยังได้เสียงจากกลุ่มที่มาใช้สิทธิเลือกตั้งไพรมารี่ครั้งแรก และที่น่าจับตา เขายังได้คะแนนจากกลุ่มรายได้ต่ำและมีการศึกษาน้อย ที่ไม่ใช่กลุ่มผู้สนับสนุนดั้งเดิมของรีพับลิกันด้วย ซึ่งหากทรัมป์ได้เป็นตัวแทนพรรค ก็จะถือว่าเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าการเป็นตัวแทนพรรคครั้งสำคัญ
ส่วนในฝั่งของเดโมแครต นายแซนเดอร์ส แม้จะเป็นวุฒิสมาชิกของรัฐเวอร์มอนต์มาหลายสมัย และเพิ่งจะเข้าสู่พรรคเดโมแครตเมื่อปีที่แล้ว แต่ก็ถือเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ โดยได้คะแนนจากคนรุ่นใหม่อายุไม่เกิน 30 ปี กลุ่มหัวเสรีนิยม กลุ่มผู้มีรายได้น้อย และผู้ที่ไม่สังกัดพรรค ซึ่งต่างจากนางฮิลลารี คลินตัน ที่ผู้สนับสนุนส่วนใหญ่มักเป็นผู้สูงอายุในวัย 65 ปีขึ้นไป กลุ่มผู้มีรายได้สูง และสมาชิกเดโมแครตที่เป็นพวกสายกลาง
ทั้งนี้ รัฐนิวแฮมป์เชียร์ เป็นรัฐที่ 2 ที่จัดการเลือกตั้งขั้นต้นต่อจากรัฐไอโอวา เพื่อเลือกตัวแทนผู้สมัครประธานาธิบดีสหรัฐของพรรครีพับลิกันและเดโมแครต สำหรับการเลือกตั้งขั้นต้นที่จะมีขึ้นต่อไป คือที่รัฐเซาท์แคโรไลนา และรัฐเนวาดา ในวันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์นี้
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงการเมืองสหรัฐ บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การเลือกตั้งรอบนี้คาดเดาได้ยากสุดเท่าที่เคยมีมา และว่าจะต้องไปลุ้นกันในศึกเลือกตั้ง “Super Tuesday” ที่จะมีขึ้นในวันที่ 1 มีนาคม ขณะที่ทีมหาเสียงของนางฮิลลารี คลินตัน มีความเชื่อมั่นอย่างสูงกว่า การเลือกตั้งหยั่งเสียงเพื่อคัดสรรตัวแทนพรรคของพรรคเดโมแครต ใน 11 รัฐ ซึ่งมีขึ้นพร้อมกันในวันอังคารที่ 1 มีนาคม หรือที่เรียกกันว่า “ซูเปอร์ทิวสเดย์” นั้น นางคลินตัน จะต้องได้รับชัยชนะเหนือคู่แข่งคนสำคัญ คือ นายเบอร์นี่ แซนเดอร์ส อย่างแน่นอน ทั้งนี้เพราะหลายรัฐ เป็นฐานเสียงสำคัญของอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในรัฐใหญ่ๆ อย่าง “แอลาแบมา” ที่มี delegate หรือตัวแทนถึง 60 เสียง, จอร์เจีย 116 เสียง และเท็กซัส 252 เสียง ซึ่งเป็นรัฐที่มีชนกลุ่มน้อยหนาแน่นมาก โดยชัยชนะจากการเลือกตั้งในวันซูเปอร์ทิวสเดย์ จะทำให้นางคลินตัน ได้เปรียบในการเลือกตั้งรอบแรกอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องจับตามองซึ่งอาจเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งนี้ ก็คือการที่นายไมเคิล บลูมเบิร์ก อดีตนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก 3 สมัย ประกาศว่าจะพิจารณาลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในนาม “ผู้สมัครอิสระ” ภายหลังหนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทมส์ รายงานว่านายบลูมเบิร์กวางแผนที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐปี 2559 ในฐานะผู้สมัครอิสระ โดยจะใช้เงินส่วนตัวราว 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นงบประมาณสำหรับการหาเสียงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐซึ่งจะมีขึ้นในเดือนพ.ย.ปีนี้ แต่นายบลูมเบิร์ก จะตัดสินใจครั้งสุดท้ายภายในเดือนมี.ค.ซึ่งเป็นเส้นตายในการลงสมัคร หลังจากเขาได้พิจารณาจากผลการหยั่งเสียงประชามติหรือโพลล์ว่าเขาสมควรที่จะต่อกรอย่างไรกับคู่แข่งคนสำคัญจากพรรครีพับลิกัน อย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ และจากพรรคเดโมแครตอย่างนางคลินตัน หรือนายแซนเดอร์ส
อย่างไรก็ตาม ในอดีตที่ผ่านมานั้นไม่เคยมีผู้สมัครอิสระที่สามารถชนะการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐได้แม้แต่คนเดียว แต่สำหรับนายบลูมเบิร์กผู้มีความสัมพันธ์กับใกล้ชิดกับบุคคลในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทและแนวคิดสังคมเสรีนิยมนั้นเห็นเป็นโอกาสหากพรรครีพับลิกันเลือกให้นายทรัมป์ หรือนายเท็ด ครูซ วุฒิสมาชิกจากรัฐเท็กซัสเป็นตัวแทนพรรค ขณะที่พรรคเดโมแครต การที่นางคลินตัน ต้องเผชิญคู่แข่งที่น่ากลัวอย่างนายแซนเดอร์ส ก็น่าจะเป็นโอกาสที่เขาจะลงแข่งขันในนามผู้สมัครอิสระ
การเข้าร่วมสังเวียนของนายบลูมเบิร์ก น่าจะปรับเปลี่ยนโฉมหน้าการแข่งขันต่อสู้ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยเฉพาะในพรรคเดโมแครต บลูมเบิร์กเคยเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครต ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรีพับลิกันในปี 2544 แต่สุดท้ายเขาวางตัวเป็นนักการเมืองอิสระในปี 2550 ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่า เขาน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดึงคะแนนจากชาวเดโมแครตได้มากกว่ารีพับลิกัน สืบเนื่องจากทัศนะเสรีนิยมทั้งด้านอาวุธปืน การทำแท้งและสิ่งแวดล้อม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี