กลายเป็นการตอบโต้ข้ามประเทศอีกครั้งของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ว่าที่ผู้สมัครเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน กับนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ผู้นำอังกฤษที่วิจารณ์ข้อเสนอห้ามชาวมุสลิมเข้าสหรัฐว่าเป็นข้อเสนอที่สร้างความแตกแยก โง่เขลา และเป็นสิ่งที่ผิด
โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้เสนอตัวเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกัน ในการชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐ ได้ให้สัมภาษณ์ ในรายการ GOOD MORNING BRITAIN ของสถานีโทรทัศน์ ITV ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนพันธมิตรกับสถานีโทรทัศน์ NBC ของสหรัฐ โดยตอบคำถามของผู้ดำเนินรายการ “เพียซ มอร์แกน” กรณีที่นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ผู้นำอังกฤษวิจารณ์ข้อเสนอของเขาว่าเป็นสิ่งที่โง่เขลา สร้างความแตกแยก และเป็นสิ่งที่ผิด
ผู้ดำเนินรายการบอกว่าผู้นำอังกฤษ คงไม่ถอนคำพูด หรือไม่ขอโทษกับสิ่งที่ได้พูดไปนั้น นายทรัมป์บอกว่า เขาก็ไม่แคร์เหมือนกัน แต่เมื่อผู้ดำเนินรายการ ถามต่อไปในเชิงว่าหากนายทรัมป์ ชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดี ขณะที่คาเมรอน ก็เป็นผู้นำอังกฤษ เรื่องนี้ ดูเหมือนจะเป็นคำถามชี้นำ เสมือนว่าทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หากผู้นำมีความคิดที่แตกต่างกันจะส่งผลอย่างไรบ้าง เรื่องนี้ นายทรัมป์ตอบว่า ดูเหมือนเราจะไม่มีความสัมพันธ์ในระดับที่ดีมาก แต่ก็ยืนยันว่าสามารถร่วมทำงานกับนายคาเมรอนได้ ทั้งยังหวังที่จะญาติดีกับผู้นำอังกฤษ แต่เป็นที่ผู้นำอังกฤษเองที่ไม่อยากจะญาติดีและจัดการกับปัญหาที่เขาเสนอมากกว่า
ทั้งนี้เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว หนึ่งสัปดาห์หลังจากเกิดเหตุยิงในซาน เบอร์นาร์ดิโน จนมีผู้เสียชีวิต 14 คน ทรัมป์ได้เสนอห้ามชาวมุสลิมเดินทางเข้าสหรัฐโดยสิ้นเชิง ซึ่งเขาก็ได้ชี้แจงท่าทีดังกล่าวในการให้สัมภาษณ์รายการนี้ว่า ประชาชนหลายล้านคนบอกว่าสิ่งที่เขาเสนอนั่น ถูกต้องแล้ว ถือเป็นการตอบโต้นายคาเมรอน ที่บอกว่าเป็นความผิดพลาด นอกจากนี้ ยังบอกด้วยว่า เขาไม่ได้โง่เขลา และสร้างความแตกแยกเหมือนประธานาธิบดีคนปัจจุบัน แต่ในทางกลับกันเขาเป็นคนที่สร้างความสามัคคีด้วยซ้ำ
ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้ถือโอกาสระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยรัตเกอร์ส ในนิวเจอร์ซีย์ โจมตีนโยบายด้านผู้อพยพ การค้า และมุสลิมของทรัมป์ โดยระบุว่า การโดดเดี่ยวชาวมุสลิมที่ถูกดูหมิ่น ด้วยการบอกว่าคนเหล่านี้ควรได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างเมื่อต้องเดินทางเข้าสหรัฐนั้น ไม่เพียงแค่เป็นการทรยศต่อค่านิยมของสหรัฐรวมถึงความเป็นตัวตนของชาวอเมริกันเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นในทุกชุมชนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญที่สุดของสหรัฐในการต่อสู้กับลัทธิหัวรุนแรงด้วย
นายโอบามายังไม่เห็นด้วยกับการเรียกร้องของนายทรัมป์ที่ให้สร้างกำแพงตลอดแนวชายแดนระหว่างสหรัฐและเม็กซิโก โดยบอกว่าแม้จะสามารถสร้างกำแพงและรับผิดชอบต่อความท้าทายของผู้อพยพ แต่ก็เป็นสิ่งที่ขัดกับประวัติศาสตร์ของประเทศในฐานะที่เป็นแหล่งหลอมของคนชาติต่างๆ ในโลก และยังขัดแย้งกับหลักฐานที่บ่งชี้ว่าการเจริญเติบโต นวัตกรรม และความเป็นพลวัตของสหรัฐ ที่ดึงดูดให้ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก ไขว่ขว้าที่จะเดินทางมาและทำให้กลายมาเป็นประเทศสหรัฐอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ดังนั้นขอเสนอของนายทรัมป์ถือเป็นความโง่เขลาที่ไม่น่าชื่นชม เช่นเดียวกับการพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้จริง
ด้านนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตก็ออกมาโจมตีนายทรัมป์ว่า สหรัฐไม่ควรเสี่ยงกับผู้สมัครที่ไม่น่าไว้วางใจ โดยบอกว่าเธอไม่เคยได้ยินคำพูดของผู้ที่จะได้รับการเสนอชื่อเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ที่พูดอย่างขาดการไตร่ตรองและสุ่มเสี่ยงแบบที่นายทรัมป์พูดเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์มาก่อน ซึ่งเธอเห็นว่าเป็นคำพูดที่อันตรายและน่ากลัวที่สร้างความสับสนขึ้นได้
ก่อนหน้านี้ นายทรัมป์ออกมาตอบโต้กรณีที่ถูกนายซาดิ๊ก ข่าน นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนกล่าวหาว่าความคิดเห็นที่ไร้การศึกษาของเขาที่มีต่อศาสนาอิสลามจะทำให้ทั้งสหรัฐและอังกฤษมีความปลอดภัยน้อยลง โดยนายทรัมป์บอกว่าเป็นคำพูดที่ดูถูกเขา เพราะนายข่านไม่เคยรู้จักและไม่เคยพบเขา รวมทั้งไม่รู้ด้วยว่าเขาเป็นอย่างไร ซึ่งเขาถือว่าการแสดงความคิดเห็นของนายข่าน เป็นสิ่งที่หยาบคายและน่ารังเกียจ
ขณะเดียวกัน นายทรัมป์ยังตอบโต้หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์ ที่รายงานข่าวเกี่ยวกับการปฏิบัติที่ไม่ดีของเขาต่อบรรดาสตรีที่เคยทำงาน หรือมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา โดยนายทรัมป์บอกว่าทุกคนต่างหัวเราะในรายงานข่าวดังกล่าว พร้อมบอกว่าหนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์ โจมตีเขาอย่างไม่ยุติธรรมเพราะไม่เคยหยิบยกการกระทำของนางคลินตันในช่วงที่เกิดเรื่องอื้อฉาวทางเพศของนายบิลล์ คลินตัน ผู้เป็นสามีขึ้นมาโจมตีบ้าง ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ไม่จริงใจของหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าว
สำหรับท่าทีของชาวอเมริกัน ต่อการแข่งขันระหว่างนางคลินตันกับนายทรัมป์ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น โพลล์หลายสำนักได้จับกระแสความรู้สึกของประชาชน จึงได้ดำเนินการหยั่งเสียงชาวอเมริกันที่มีสิทธิออกเสียงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า นางคลินตัน มีคะแนนนิยมมากกว่านายทรัมป์เพียงเล็กน้อย ระหว่างร้อยละ 48 ต่อร้อยละ 45
ก่อนหน้านี้ ข้อมูลระบุว่า ทั้งสองฝ่ายเป็นคู่ต่อสู้ที่สูสีกันมาก และคะแนนนิยมอาจเปลี่ยนแปลง ก่อนถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพฤศจิกายน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี