3 ก.ย. 2561 องค์การนิรโทษกรรมสากล หรือแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International) ออกแถลงการณ์ 2 ฉบับ แสดงความเป็นห่วงสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในไทยและเมียนมา โดยสำหรับไทยนั้นเป็นกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวและการปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยอย่างน้อย 168 คนจากกัมพูชาและเวียดนาม จึงเรียกร้องทางการไทยให้ปล่อยตัวพวกเขาโดยทันทีระหว่างรอการตรวจสอบคำขอลี้ภัยจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR)
มินาร์ พิมเพิล (Minar Pimple) ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการระดับโลก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า รู้สึกกังวลใจเป็นอย่างยิ่งต่อการควบคุมตัวและการปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยอย่างน้อย 168 คนจากกัมพูชาและเวียดนาม รวมทั้งชาวเขามองตานญาด ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยที่หลบหนีจากการประหัตประหารทางการเมืองและศาสนามาจากกัมพูชาและเวียดนามเมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2561 ที่ผ่านมา
โดยทางแอมเนสตี้ฯ มีข้อมูลว่า ในบรรดาผู้ที่ถูกจับกุมประกอบด้วยเด็กอย่างน้อย 63 คน ตั้งแต่อายุสามเดือนจนถึง 17 ปี รวมทั้งผู้หญิงตั้งครรภ์สองคน ผู้ถูกจับกุมและควบคุมตัวหลายคนให้ข้อมูลว่า พวกเขาได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจาก UNHCR แล้ว และได้แสดงบัตรผู้ลี้ภัยให้กับเจ้าหน้าที่ไทย ส่วนคนอื่นๆ ถือบัตรผู้ขอลี้ภัย แต่เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมอ้างว่าไม่มีบุคคลที่ได้รับสถานะจาก UNHCR แต่อย่างใด
“แม้ว่านายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้คำมั่นสัญญาที่จะจัดทำกลไกคัดกรองระดับชาติ สำหรับผู้ยื่นเรื่องขอที่ลี้ภัยในประเทศไทย ในระหว่างการปราศรัยในที่ประชุมสุดยอดผู้นำว่าด้วยผู้ลี้ภัยเมื่อเดือน ก.ย. 2559 และต่อมามีมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องเดียวกันเมื่อเดือน ม.ค. 2560 แต่รัฐบาลไทยยังไม่สามารถปฏิบัติให้เห็นผลจริงจังตามคำสัญญาดังกล่าว” ผอ.อาวุโสฝ่ายปฏิบัติการระดับโลก แอมเนสตี้ฯ กล่าว
ด้วยเหตุนี้ แอมเนสตี้ฯ จึงขอเรียกร้องไปยังทางการไทย ดังนี้ 1.จนกว่ารัฐบาลไทยจะจัดทำกระบวนการตรวจสอบการขอที่ลี้ภัยที่เป็นธรรมและรวดเร็ว ขอให้รัฐบาลไทยสนับสนุนบทบาทและอำนาจหน้าที่ของ UNHCR ในการจำแนกสถานะผู้ลี้ภัยของบุคคลทุกคนที่ยื่นเรื่องขอที่ลี้ภัย ไม่ว่าจะมีสัญชาติหรือเป็นชนเผ่าใด และประกันว่าผู้แสวงหาที่ลี้ภัยทุกคนเข้าถึงกระบวนการขอที่ลี้ภัยอย่างเต็มที่ เป็นธรรม และอย่างมีประสิทธิภาพ
2.ประกันว่า จะใช้มาตรการควบคุมตัวผู้แสวงหาที่ลี้ภัยเป็นมาตรการสุดท้ายและเฉพาะเท่าที่จำเป็นอย่างยิ่ง ภายหลังการประเมินเป็นรายกรณีเพื่อให้ทราบถึงความต้องการด้านมนุษยธรรมและความเสี่ยงกรณีที่ได้รับการปล่อยตัว และให้ควบคุมตัวเป็นระยะเวลาสั้นสุดเท่าที่จำเป็น 3.จัดทำทางเลือกอื่นนอกจากการควบคุมตัวสำหรับผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัย โดยอาจกำหนดเงื่อนไขให้ต้องมารายงานตัว ให้มีการยื่นเรื่องขอประกันตัว หรือให้มีผู้อุปถัมภ์
4.ประกันว่าจะไม่มีการควบคุมตัวเด็กเพียงเพื่อเพราะเหตุผลด้านการเข้าเมือง เนื่องจากการควบคุมตัวเช่นนี้ย่อมไม่อาจตอบสนองประโยชน์สูงสุดของเด็ก ยุติการบังคับแยกตัวเด็กจากพ่อแม่หรือผู้ดูแล ไม่ว่าในเงื่อนไขใดที่เกี่ยวข้องกับการเข้าเมือง 5.ไม่ส่งกลับบุคคลไปยังประเทศที่มีความเสี่ยงว่าจะถูกประหัตประหาร ถูกทรมาน ถูกกระทำด้วยความรุนแรง หรืออาจถูกละเมิดหรือปฏิบัติมิชอบด้านร้ายแรงด้านสิทธิมนุษยชน
และ 6.ให้ภาคยานุวัติกับอนุสัญญาว่าด้วยสถานะผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ พ.ศ. 2494 และพิธีสารเลือกรับ พ.ศ. 2510 และประกันว่า มีการอนุวัติตามอนุสัญญานี้ทั้งในระดับนโยบายและการปฏิบัติ รวมทั้งการจัดทำกลไกคัดกรองระดับชาติสำหรับผู้แสวงหาที่ลี้ภัย ทั้งนี้ชาวมองตานญาดเป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งอาศัยอยู่ในที่ราบสูงตอนกลางของเวียดนามและกัมพูชา ชาวมองตานญาถูกคุกคามมากที่สุดในเวียดนาม ต้องเผชิญกับการปราบปรามอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ เนื่องจากความเชื่อทางศาสนาและการเมืองของตน
การอพยพโยกย้ายและสูญเสียทรัพย์สินอันเป็นผลมาจากข้อพิพาทด้านที่ดินและการแย่งชิงที่ดิน ส่งผลให้จำนวนมากไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ในกัมพูชา รัฐบาลเรียกกลุ่มคนเหล่านี้ว่าชาวจราย เป็นชนเผ่ามองตานญาดกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในกัมพูชา และถือเป็นชนกลุ่มน้อยของเวียดนาม ชาวเขามองตานญาดจากเวียดนามกว่าร้อยคนได้แสวงหาที่ลี้ภัยในกัมพูชา และถูกผลักดันส่งกลับไปยังเวียดนาม ซึ่งหากถูกส่งกลับไปเวียดนาม มีความเสี่ยงอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะถูกประหัตประหารและถูกจำคุกโดยไม่มีเวลากำหนด
ดังนั้นแม้ว่ารัฐบาลไทยไม่ได้ให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัย พ.ศ. 2494 แต่ก็ยังมีพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศ ที่จะต้องปฏิบัติตามหลักการไม่ส่งกลับ โดยประกันว่าจะไม่มีการผลักดันบุคคลกลับไปยังประเทศ ซึ่งมีความเสี่ยงที่พวกเขาจะถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ทั้งยังมีข้อห้ามต่อการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมและย่ำยีศักดิ์ศรีในรูปแบบอื่น จึงอยากให้ทางการไทยยึดมันในหลักการนี้ด้วย
นอกจากนี้ แอมเนสตี้ฯ ยังออกแถลงการณ์แสดงความกังวลด้านเสรีภาพสื่อมวลชนในเมียนมา (พม่า) หลังศาลเมียนมาสั่งลงโทษจำคุกผู้สื่อข่าวสำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) ชาวเมียนมา 2 คน คือ “วา โลน” และ “จอ ซอ อู” คนละ 7 ปี ในข้อหาเปิดเผยความลับของทางราชการ เนื่องจากผู้สื่อข่าวทั้ง 2 นำเอกสารข้อมูลการกวาดล้างชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ของกองทัพรัฐบาลเมียนมาออกมาเผยแพร่ให้ชาวเมียนมาและชาวโลกรับรู้
ทีรานา ฮัสซัน (Tirana Hassan) ผู้อำนวยการฝ่ายรับมือภาวะวิกฤติ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ผู้สื่อข่าวทั้ง 2 ถูกลงโทษเพียงเพราะกล้าลุกขึ้นมาตั้งคำถามท้าทายเกี่ยวกับความทารุณโหดร้ายของกองทัพในรัฐยะไข่ ดังนั้นแอมเนสตี้ฯ จึงขอเรียกร้องให้ยกเลิกคำตัดสินนี้ และต้องปล่อยตัวนักข่าวทั้งสองคนโดยทันทีและอย่างไม่มีเงื่อนไข
“คำพิพากษาที่มีแรงจูงใจทางการเมืองส่งผลกระทบอย่างมากต่อเสรีภาพสื่อในเมียนมา เป็นการส่งสัญญาณเตือนอย่างหนักหน่วงต่อผู้สื่อข่าวคนอื่น ๆ ในประเทศว่า พวกเขาอาจต้องได้รับผลกรรมร้ายแรง หากให้ความสนใจมากเกินไปกับการปฏิบัติมิชอบของกองทัพ ถือเป็นการทำให้นักข่าวหวาดกลัวและเซ็นเซอร์โดยบังคับ” ผอ.ฝ่ายรับมือภาวะวิกฤติ แอมเนสตี้ฯ ระบุ
แถลงการณ์ของแอมเนสตี้ฯ ยังกล่าวอีกว่า คำพิพากษาในวันนี้ไม่สามารถปกปิดความจริงที่เกิดขึ้นในรัฐยะไข่ได้ ต้องขอบคุณการทำงานที่กล้าหาญของนักข่าวอย่างวาโลนและจอโซอู ที่ทำให้โลกได้รับรู้ถึงความทารุณโหดร้ายของกองทัพ แทนที่จะพุ่งเป้าโจมตีผู้สื่อข่าวทั้งสองคน ทางการเมียนมาควรเดินหน้าสอบสวนหาผู้รับผิดชอบต่อการสังหาร การข่มขืนกระทำชำเรา การทรมาน และการเผาบ้านเรือนหลายร้อยหมู่บ้านของชาวโรฮิงญา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี