โครงการศึกษาวิจัยฯแหลมผักเบี้ย
จากปัญหาน้ำเสียที่มีโรงงานจำนวนมากและขยะท่วมท้นล้นเมืองนั้น ได้มีโครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมตามพระราชดำริที่แหลมผักเบี้ยขึ้น เพื่อทำการศึกษาและหาวิธีแก้ไขปัญหาดังกล่าว อาทิตย์นี้ขอตาม สำนักพัฒนาการประชาสัมพันธ์ กรมประชาสัมพันธ์ เพื่อหาภูมินวัตกรรมธรรมชาติ ที่สนองงานตามพระราชดำริว่า“ปัญหาสำคัญ คือ เรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องน้ำเสียกับขยะ ได้ศึกษามาแล้วเหมือนกัน ทำไม่ยากนัก ในทางเทคโนโลยีทำได้ แล้วในเมืองไทยเองก็ทำได้….." การบำบัดน้ำเสียและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้อยู่ในสภาพที่ดีขึ้นนั้น หากนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพียงอย่างเดียวก็จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายเป็นอย่างมาก ประเทศไทยเป็นประเทศในเขตร้อนชื้น กิจกรรมของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในการย่อยสลายสิ่งสกปรกย่อมมีมากและรวดเร็ว
นกเกาะเสาเฝ้าหาปลาในบ่อบำบัดนํ้าเสีย
พระองค์จึงมีพระราชดำริเรื่องการบำบัดของเสีย ด้านขยะและน้ำเสีย โดยอาศัยเทคโนโลยีที่ง่าย ราคาถูก และทุกคนสามารถทำได้เอง ไม่สลับซับซ้อน ค่าใช้จ่ายต่ำ นั่นคือการใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ บริเวณพื้นที่ของแหลมผักเบี้ยนั้นได้ถูกใช้ทดลองและสร้างนวัตกรรมธรรมชาติด้วยพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังปรากฏ พระราชดำริเรื่อง"น้ำดีไล่น้ำเสีย" ในการแก้ไขมลพิษทางน้ำมาแล้วก็จริง แต่การแก้ปัญหาน้ำเสียที่ไม่มีน้ำในแม่น้ำและคลองช่วยนั้น พระองค์ทรงมีพระราชดำริว่า ".ต้องทำการเรียกว่า การกรองน้ำ ให้ทำน้ำนั้นไม่ให้โสโครก แล้วปล่อยน้ำลงมาที่เป็นที่ทำการเพาะปลูก หรือทำทุ่งหญ้า หลังจากนั้นน้ำที่เหลือก็ลงทะเลโดยที่ไม่ทำให้น้ำนั้นเสีย….."
บ่อบำบัดที่กรองนํ้าล้นลงสู่บ่อต่อไป
ด้วยเหตุนี้การบำบัดน้ำเสียในชุมชน ในโครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่แหลมผักเบี้ยจึงเป็นนวัตกรรมที่รวบรวมน้ำเสียและลำเลียงมาจากเทศบาลเมืองเพชรบุรีโดยให้ส่งมาตามท่อยาวประมาณ๑๘.๕กิโลเมตร แล้วนำน้ำเข้าสู่ระบบบำบัดน้ำเสียของโครงการฯ ที่ตำบลแหลมผักเบี้ย อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี โดยใช้กระบวนการทางธรรมชาติตามแนวทางพระราชดำริ โดยแบ่งเทคโนโลยีการบำบัดน้ำเสียออกเป็นระบบ ๔ ระบบได้แก่ ระบบบ่อบำบัดน้ำเสีย (Lagoon Treatment)ระบบพืชและหญ้ากรองน้ำเสีย (Plant and Grass Filtration) ระบบพื้นที่ชุ่มน้ำเทียม (Constructed Wetland) และระบบแปลงพืชป่าชายเลน (Mangrove Forest Filtration) โดยมีการกักพักน้ำเสียไว้ในระยะเวลาที่เหมาะสมกับปริมาณความสกปรกของน้ำ ด้วยการเติมออกซิเจนและกระบวนการสังเคราะห์แสงของแพลงก์ตอน และสาหร่าย อาศัยแรงลมช่วยในการพลิกน้ำเติมอากาศ การย่อยสลายสารอินทรีย์ด้วยจุลินทรีย์ และระยะเวลากักพักน้ำเพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรค โดยมีบ่อตกตะกอน ๑ บ่อ บ่อผึ่ง ๓ บ่อ และบ่อปรับสภาพ ๑ บ่อ โดยเชื่อมต่ออย่างเป็นอนุกรม ให้เข้าสู่บ่อปรับสภาพคุณภาพน้ำเป็นขั้นสุดท้าย โดยให้พืชช่วยดูดซับธาตุอาหารจากการย่อยสลายสารอินทรีย์ให้เป็นสารอนินทรีย์ที่พืชต้องการจากจุลินทรีย์ในดิน การปลดปล่อยออกซิเจนจากกระบวนการสังเคราะห์แสงจากระบบราก สาหร่าย และแพลงค์ตอน ก่อนปล่อยให้น้ำเสียไหลผ่านแปลงพืชหรือหญ้า โดยน้ำเสียนั้นจะไหลผ่านผิวดินและหญ้าอาหารสัตว์ ได้แก่ หญ้าคาลลา หญ้าโคสครอส และหญ้าสตาร์ พืชทั่วไป ได้แก่ ธูปฤาษี กกกลม(กกจันทบูร) และหญ้าแฝกพันธุ์อินโดนีเซีย โดยใช้แปลงพืชป่าชายเลน ใช้หลักการเจือจางระหว่างน้ำเสียกับน้ำทะเล และกักพักน้ำเสียกับน้ำทะเลที่ผสมกันแล้วไว้ระยะเวลาหนึ่งโดยการเลียนแบบธรรมชาติตามระยะเวลาการขึ้น-ลงของน้ำทะเลในแต่ละวัน เพื่อให้เกิดการตกตะกอนของสารอินทรีย์ในน้ำเสีย อาศัยระบบรากของพืชป่าชายเลนช่วยในการปลดปล่อยก๊าซออกซิเจนเติมให้กับน้ำเสียและจุลินทรีย์ในดิน เพื่อให้กลไกการย่อยสลายสารอินทรีย์โดยจุลินทรีย์ในดินในการบำบัดน้ำเสียมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นับเป็นโครงการพระราชดำริที่เป็นนวัตกรรมของการบำบัดน้ำเสียชุมชน และการกำจัดขยะ โดยอาศัยหลัก ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ ซี่งมีสายลมและแสงแดดทำงานจนเป็นแบบอย่างที่มีแห่งเดียวในประเทศ
บ่อบำบัดนํ้าเสียที่ต้องผึ่งแดดและพักไว้
'
แปลงหญ้าที่ทดลองใช้บำบัดนํ้าเสีย
พลับพลาทรงงานในการติดตามผลงาน
ผลิตผลจากนํ้าดีที่บำบัดจากธรรมชาติ
ผังบ่อบำบัดนํ้าเสียที่ใช้พื้นที่จำนวนมาก
ระบบการบำบัดนํ้าเสียด้วยป่าชายเลน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี