ณ วันนี้ เกินกว่า 10% ของจำนวนประชากรของประเทศไทยกว่าหกสิบล้านคน เป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จึงทำให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น “สังคมผู้สูงอายุ” มาตั้งแต่ปี 2010 แต่หากคุณคิดว่าการเป็น “ผู้สูงอายุ” หมายถึง การแก่ง่าย ตายยาก หรือเจ็บออดๆ แอดๆ ต้องคอยให้ลูกหลานดูแลแล้วล่ะก็... วันนี้เรามีผู้สูงอายุตัวอย่าง รศ.พญ.ศิวาพร จันทร์กระจ่าง อดีตรองคณบดีฝ่ายต่างประเทศ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองและระบบประสาท เปิดคอนโดเพื่อผู้สูงวัยสุดหรูภายในโครงการ มีสุข โซไซตี้ บาย วิลล่า มีสุข เรสซิเดนท์เซส จ.เชียงใหม่ พร้อมบอกเล่าเรื่องราวดีๆ ที่เตรียมพร้อมให้เราทุกคนเป็นผู้สูงวัยอย่างมีคุณภาพและมีความสุข
รศ.พญ.ศิวาพร ในวัย 63 ปี เผยถึงเคล็ดส่วนตัวที่ยังคงทำให้ร่างกายแข็งแรง กระฉับกระเฉง และใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ตลอดเวลาได้นั้นเกิดจากการเตรียมตัวมาดี
“การเตรียมตัวเข้าสู่การเป็นผู้สูงวัยสิ่งสำคัญคือการเตรียมตัว และจะเตรียมตัวได้เราก็ต้องมีความรู้ รู้ถึงวิธีที่จะทำอย่างไรให้มีความสุขเมื่อแก่ชรา นั่นคือการ เตรียมกาย เตรียมใจ เตรียมกายในที่ดีก็คือการดูแลสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง ส่วนการเตรียมใจก็คือการมีสติ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราควรทำตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาว แต่หลายคนชอบคิดว่าเดี๋ยวใกล้ๆ ห้าสิบหกสิบค่อยทำ บอกเลยว่าไม่ทันการณ์ ยิ่งพอมาทำงานเป็นทั้งหมอ เป็นทั้งครู เราก็เลยมีเวลาในการเตรียมตัว”
ในการดูแลสุขภาพร่างกาย คุณหมอศิวาพร บอกว่า ไม่ต้องใช้เงิน ไม่ต้องใช้เวลา และสถานที่ แต่ทุกคนสามารถทำได้ไปพร้อมๆ กับการดำเนินชีวิตประจำวัน
“การทานอาหารสำคัญมาก ต้องทานที่มีประโยชน์กับสุขภาพร่างกาย กินให้เป็นเวลา มื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุดของวัน อย่างตัวหมอจะทานเนื้อสัตว์น้อยมาก เพราะระบบร่างกายของคนเราจริงๆ มันไม่ได้เหมาะกับการกินเนื้อ แต่เหมาะกับการกินพืชมากกว่า ทุกวันจันทร์ถึงวันพุธหมอจะทานมังสวิรัติ ส่วนวันพฤหัสฯ ถึงวัน อาทิตย์ ก็จะมีเนื้อสัตว์บ้างเล็กน้อย เคล็ดลับอีกเล็กน้อยคือ ตื่นเช้ามาควรดื่มน้ำสะอาดอุณหภูมิปกติสองแก้วใหญ่ๆ และควรทานผลไม้ก่อนมื้ออาหาร เพราะผลไม้จะช่วยดูดซึมวิตามินได้ดี ช่วยระบบการทำงานของลำไส้”
ส่วนการดูแลสุขภาพใจ คุณหมอเป็นหนึ่งใน พุทธศาสนิกชน ที่น้อมนำหลักธรรมคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นแนวทางในการปฎิบัติตน
“ตัวเองโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวที่เคร่งศาสนา แม่เป็นพุทธ พ่อเป็นคริสต์ เราก็ได้เรียนรู้หลักศาสนาของทั้งสองศาสนามาตั้งแต่เด็ก แต่ตัวหมอนับถือศาสนาพุทธ ทุกวันนี้ หมอตื่นเช้าประมาณตีห้า ล้างหน้าแปรงฟัน ก็ทำสมาธิ จากนั้นก็กวาดบริเวณรอบบ้าน หมออยากจะบอกว่าผู้สูงวัยถ้าเป็นไปได้ใครที่มีลานบ้านกว้างๆ นะ การกวาดลานบ้านเป็นการออกกำลังกายพร้อมธรรมสมาธิไปในตัวได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะการกวาดบ้านเราได้ออกกำลังกายแขนขา ดีกับปอด กวาดไปก็กำหนดลมหายไปด้วย ลมหายใจเข้ารู้ ลมหายใจออกรู้ เป็นการฝึกสติได้ตลอดเวลา”
ไม่เพียงเท่านั้น คุณหมอศิวาพร ยังมีข้อคิดดีๆ ในการเตรียมพร้อมเข้าสู่วัยชรา ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่คนวัยหนุ่มสาว ไม่ค่อยจะนึกถึงกันมากนัก คือเรื่องการออมเงิน
“เป็นอีกเรื่องที่อยากพูด เมื่อก่อนเราอาจจะคิดว่ามีลูกหลานดูแล อันนี้หมออยากให้เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ว่า ถึงจะแก่แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งลูกหลานเสมอไป ไม่ต้องง้อ ถ้าเราเตรียมตัวดี ทั้งทางสุขภาพร่างกายและจิตใจ และเตรียมเรื่องการเงินตั้งแต่ยังอยู่ในวัยทำงาน พอเกษียณไม่ได้ทำงานเราก็ยังสามารถดูแลตัวเองได้ หรือถึงเราจะแก่ถ้าคิดว่าตัวเองยังมีความรู้ ความสามารถ ยังเป็นประโยชน์ ก็ควรจะทำงานทำตัวเองให้แอคทีฟ เราต้องเป็นผู้สูงวัยที่พาวเวอร์ มีความฉลาด มีความรู้ มีความสุข มีเงิน ไม่ต้องพึ่งพา เราต้องเป็นคนทิ้งลูกหลาน ให้เขาเป็นฝ่ายง้อเรา ยิ่งปัจจุบันประเทศไทยไม่ได้เป็นแค่สังคมผู้สูงอายุ แต่ยังเป็นสังคมก้มหน้ากันหมดแล้ว มันอาจจะทำให้การติดต่อสื่อสารง่ายขึ้นก็จริง แต่ทำให้คนนั่งอยู่ใกล้ๆ กันกลับไม่พูดกัน มันหมดเวลาที่จะคิดว่าลูกหลานดูแล”
แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ควรมีการเตรียมพร้อม แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังผัดวันประกันพรุ่งที่จะเตรียมตัวเองให้พร้อมสู่การเป็นผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ คุณหมอแย้งว่า
“ถ้าเรารู้ว่าสำคัญ ก็ต้องเริ่มตั้งแต่เรายังอยู่ในวัยหนุ่มสาว ดูแลกาย ดูแลใจ และรู้จักออมที่จะไว้ใช้จ่ายในยามเกษียณ เรารู้แต่เราไม่ทำอย่างจริงจังมันก็ลำบากตอนแก่ เมื่อเราเห็นอะไรสำคัญต้องทำก่อน เพราะเราไม่รู้จะตายเมื่อไร ถ้าไม่เตรียมเสบียงเราจะอยู่อย่างไร”
เมื่อถามว่ามีความพอใจ และมีความสุขในชีวิตการเป็นผู้สูงอายุหรือไม่ คุณหมอบอกด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อเตรียมตัวมาดี หมอก็พอใจ แต่ส่วนเรื่องความสุขคงวัดไม่ได้ เพราะความสุขของคนเราไม่เท่ากัน แต่ความสุขสำหรับตัวหมอ เมื่อเราได้เรียนรู้ธรรมะ ความสุขคือความไม่ทุกข์ หรือทุกข์น้อยที่สุด ถ้าเราไม่จับทุกอย่างมาไว้ในมือ คนเราไม่สามารถทำให้ตัวเองหรือคนรอบข้างมีความสุขได้ตลอดไป แต่เราสามารถทำให้ความทุกข์ ความเสียใจ ความโกรธน้อยลงได้ เท่านี้หมอก็มีความสุข มีคู่ชีวิตที่ดี ถึงไม่มีลูกก็มีความสุข มีน้องหมาสองตัวเป็นเพื่อนก็มีความสุข เมื่อเรามีความสุขเราก็มีความพอใจ ในทางกลับกันถ้าเราพอใจเราก็มีความสุขเช่นกัน”
ปัจจุบันแม้จะเกษียณอายุราชการ คุณหมอ ก็ยังไม่หยุดทำงาน ทั้งทางด้านวิชาการ เขียนตำรา สอนหนังสือ ดูแลรักษาคนไข้ ศึกษาธรรมะ เดินทางท่องเที่ยว จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมท่านจึงเป็นผู้สูงอายุที่มีความสุข และพร้อมจะแบ่งปันความสุขให้กับคนรอบข้างอยู่เสมอ...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี