เทวสถานของพราหมณ์ในพระนคร
เมื่อมีการสถาปนาพระนครขึ้นแล้ว สิ่งที่จะต้องสถาปนาขึ้นตามคติของจักรวาลก็คือ เทวสถาน ซึ่งกำหนดให้เป็นสถานที่สำคัญกลางใจเมืองโดยมีพราหมณ์ทำหน้าที่ในพระราชพิธีของพระเจ้าแผ่นดินตามขนบธรรมเนียมแต่โบราณ
อาทิตย์นี้ขอตามสำนักงานทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ ผู้เป็นกำลังสำคัญในการบูรณะบำรุงสถานที่สำคัญไปยัง เทวสถานหรือเรียกกันทั่วไปว่าโบสถ์พราหมณ์ ซึ่งตั้งอยู่ที่๒๖๘ ถนนบ้านดินสอ แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เทวสถานแห่งนี้ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพราหมณ์ ใช้สร้างขวัญและกำลังใจให้กับชาวสยามที่อพยพมาจากกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรี การสร้างกรุงรัตนโกสินทร์แห่งใหม่นั้น ได้ทำให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินที่ย้ายถิ่นฐานอยู่หลายครั้งหลายครานั้นเกิดความวุ่นวายจนเสียขวัญ เพื่อให้เกิดความมั่นคงในจิตใจของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินนั้น จึงมีการสร้างหลักเมืองและเทวสถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเพื่อเห็นหลักฐานว่าต่อไปนี้ทุกคนจะได้อยู่อย่างยั่งยืนต่อไป
พระบรมมหาราชวังกรุงรัตนโกสินทร์
การหลอมรวมจิตใจของผู้คนนั้นเป็นสิ่งสำคัญ สิ่งที่จะน้อมนำให้เกิดความสงบร่มเย็นได้ตลอดไปนั้น จึงจำเป็นต้องมีเทวสถานเช่นเดียวกับอาณาจักรในอดีต พระองค์โปรดให้สถาปนาเทวสถานขึ้นพร้อมกับเสาชิงช้าเมื่อพ.ศ.๒๓๒๗ตามแบบแผนของโบราณราชประเพณีที่สร้างเทวาลัยใจกลางพระนคร เพื่อให้ชนทุกหมู่เหล่าและพราหมณ์ผู้ประกอบศาสนพิธีกรรมสำคัญเกี่ยวพิธีมงคลต่างๆนั้นได้บำรุงขวัญกำลังใจแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินในชีวิตประจำวันตลอดไป
เทวสถานหรือโบสถ์พราหมณ์แห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้วัดสุทัศน์เทพวรารามและเสาชิงช้ามีสถานประกอบศาสนกิจอันเป็นมงคล เป็นอาคารหลัก ๓ อาคาร ได้แก่
คณะพราหมณ์ในสมัยรัชกาล ที่ 6
สถานพระอิศวร (โบสถ์ใหญ่) ก่อสร้างด้วยอิฐถือปูนไม่มีพาไลมีขนาดใหญ่กว่าหลังอื่นทุกหลัง หน้าบันด้านหน้ามีเทวรูปปูนปั้นนูน รูปพระอิศวร พระอุมา และเครื่องมงคลรูปสังข์ กลศ กุมภ์ อยู่ในวิมาน ใต้รูปวิมานมีปูนปั้นเป็นรูปเมฆและโคนันทิ หน้าบันด้านหลังไม่มีลวดลาย ภายในเทวสถานนั้นมีเทวรูปพระอิศวรทำด้วยสำริดสมัยสุโขทัย ประทับยืนประทานพร โดยยกพระหัตถ์ทั้งสองข้าง และเทวรูปขนาดกลางอีก๓๑ องค์ ประดิษฐานในเบญจาหรือชุกชี ด้านหลังเบญจานี้ ประดิษบานศิวลึงค์ ๒ องค์ ทำด้วยหินสีดำ ด้านหน้าเบญจามีชั้นลด ประดิษฐานเทวรูปพระพรหมสามองค์ พระราชครูวามเทพมุนีเป็นผู้สร้าง เมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๔ พระสรัสวดี 1 องค์ สองข้างแท่นลด มีเทวรูปพระอิศวรทรงโคนันทิและพระอุมาทรงโคนันทิ เป็นศิลปะปูนปั้นโบราณมีมาแล้วก่อนสมัยรัชกาลที่๕ ตรงกลางโบสถ์นั้นมีเสาลักษณะคล้ายเสาชิงช้าสองต้น สำหรับประกอบพิธีช้าหงส์ในพระราชพิธีตรียัมพวาย-ตรีปวาย ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือนยี่ (พระอิศวร พระนางอุมา พระคเณศ) วันแรม ๕ ค่ำ เดือนยี่ (พระนารายณ์) และวันแรม ๓ ค่ำ เดือนยี่ (พระพรหม) พิธีช้าหงส์ในวันแรม ๑ ค่ำ และวันแรม ๕ ค่ำ เดือนนั้น เป็นพิธีที่มีมาแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ ส่วนในวันแรม ๓ ค่ำ เป็นพิธีที่เพิ่งจัดให้มีขึ้นในรัชกาลปัจจุบัน
พระศิวะสมัยสุโขทัยในเทวสถาน
สถานพระพิฆเนศวร (โบสถ์กลาง) สร้างด้วยอิฐถือปูน ภายในเทวรูปพระพิฆเนศวร ๕ องค์ ล้วนทำด้วยหิน คือ หินเกรนิต หินทราย หินเขียว ๒องค์ ทำด้วยสำริด ๑ องค์ ประดิษฐานบนเบญจา ประทับนั่งทุกองค์ สถานพระนารายณ์ (โบสถ์ริม) สร้างด้วยอิฐถือปูน ภายในทำชั้นยกตั้งบุษบกสามหลัง หลังกลางนั้นประดิษฐานพระนารายณ์ ตรงกลางโบสถ์มีเสาลักษณะคล้ายเสาชิงช้าขนาดย่อม สำหรับประกอบพิธีช้าหงส์โดยมี “เสาหงส์อยู่และ หอเวทวิทยาคม เดิม เป็นหอสำหรับพราหมณ์ประกอบพิธีตามลัทธิไสยศาสตร์ ซึ่งปรากฏในพงศาวดาร รัชกาลที่ ๑เมื่อจุลศักราช ๑๑๔๗หรือพ.ศ.๒๓๒๘นั้นเป็นปีที่สร้างพระนครและพระราชมณเฑียรสำเร็จจึงได้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเต็มแบบโบราณราชประเพณีขึ้น ในการนั้นได้ตั้งโรงพิธีพราหมณ์ที่หน้าพระที่นั่ง ใช้เป็นที่ประกอบพิธีเรียกกันว่า หอพราหมณ์ ต่อมาได้จึงมีการสร้างหอพราหมณ์ขึ้นที่มีชื่อเป็นทางการว่าหอเวทวิทยาคม โดยจัดเป็นห้องสมุดเฉพาะกิจ เก็บรวมรวมสรรพวิชาการต่าง ๆ ด้านวรรณคดี พิธีกรรม ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ วัฒนธรรมประเพณี ด้วยไมโครฟิล์ม สไลด์ และเป็นที่ประกอบพิธีกรรรมทางศาสนา บำเพ็ญกุศล ด้วยเหตุนี้เทวสถานในพระนครจึงเป็นภูมิพระเวทที่มีรวบรวมสรรพวิทยาการด้านประเพณีและพิธีกรรมแห่งหนึ่งของประเทศ
สถานพระนารายณ์สมัยอยุธยาในเทวสถาน
พระนารายณ์-พระลักษมีและพระมเหศวรี
เสาชิงช้าที่บูรณะแล้วในปัจจุบัน
พราหมณ์ทำพิธีบูชาพระผู้เป็นเจ้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี