“คันหู ไม่รู้เป็นอะไร" เมื่อมีอาการคัน ก็ต้องมีการเกา เมื่อมีการเกา ก็มักมีปัญหาที่ผิวหนัง เมื่อผิวหนังน้องหมามีปัญหา ก็มักทำให้เจ้าของสุนัขปวดหัว แต่ไม่ใช่แค่เจ้าของที่ปวดหัวนะครับ หมอเองก็มึนหัวไม่แพ้กันครับ เนื่องจากปัญหาหลักของโรคผิวหนังในสุนัขและแมวนั้น มีสาเหตุหลากหลายและการรักษาของแต่ละสาเหตุก็แตกต่างกันด้วยครับ ดังนั้นการได้ข้อมูลอย่างละเอียดจากผู้ใกล้ชิดจะช่วยให้หมอวินิจฉัยและรักษาได้ตรงจุดครับ
สุนัขคัน มีอาการอย่างไร
เมื่อสัตว์เลี้ยงคัน การแสดงออกอาจไม่ใช่แค่เอาขาหน้าเกาเหมือนการใช้มือเกาในคนเท่านั้นนะครับ แต่ยังอยู่ในรูปในของการเอาอวัยวะที่คันไปถูกับผนังหรือเฟอร์นิเจอร์ในบ้าน การเลีย การให้ฟันกัดหรือแทะตัวเอง ซึ่งการคันอาจแสดงอาการตั้งแต่เล็กน้อยแค่บางตำแหน่งของร่างกาย จนถึงมีอาการคันมากจนกัดแทะตัวเองจนผิวหนังเป็นแผลทั้งตัวก็ได้ครับ
การที่สัตว์เกา ถู เลีย หรือแทะตัวเองนั้น เป็นการทำเพื่อลดการระคายเคืองผิวหนัง บรรเทาอาการหงุดหงิดและความไม่สบายตัว ทั้งยังเป็นกลไกการป้องกันตัวเองในการขจัดสิ่งแปลกปลอม ปรสิตภายนอก หรือสิ่งที่เป็นพิษให้ออกไปจากร่างกายอีกด้วยครับ
สาเหตุของการคัน
สาเหตุที่ทำให้สุนัขมีอาการคันนั้น แบ่งคร่าวๆ ได้ดังนี้ครับ
- จากพยาธิภายนอก เช่น เห็บ หมัด เหา ไรในหู ไรขี้เรื้อน (ทั้งขี้เรื้อนแห้ง และขี้เรื้อนเปียก) โดยปกติแล้ว ในช่วงแรกปัญหา จากไรขี้เรื้อนเปียก มักจะไม่มีอาการคัน แต่ในระยะที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย จะทำให้เกิดอาการคันิย่างมากได้
- จากการติดเชื้อ จากแบคทีเรีย ยีสต์ หรือเชื้อรา
- จากโรคภูมิแพ้ ซึ่งโรคที่พบได้ค่อนข้างบ่อยในสุนัข คือ การแพ้น้ำลายหมัด แพ้อาหาร สิ่งแวดล้อม และการแพ้ที่เกิดจากการสัมผัส
การตรวจวินิจฉัย
การวินิจฉัยสาเหตุของอาการคันนั้น จำเป็นต้องได้รับข้อมูลจากเจ้าของสัตว์อย่างละเอียด ทั้งเรื่องอาการ ระยะเวลาที่เริ่มมีอาการคัน ความถี่ของการเกา รวมถึงสิ่งปกติที่พบที่ผิวหนัง
สัตวแพทย์จึงจะทำการซักประวัติอย่างละเอียด เพื่อให้ครอบคลุม และมีการตรวจร่างกายอย่างละเอียด เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเลือกการตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฎิบัติการ และเพื่อให้การรักษาที่เหมาะสมต่อไป
ข้อมูลอะไรบ้างที่เจ้าของควรเตรียมเพื่อให้ข้อมูลแก่สัตวแพทย์
ควรเตรียมข้อมูลดังนี้
- มีอาการคันมาตั้งแต่เมื่อไหร่?
- คันมานานแค่ไหน?
- คันบริเวณใดของร่างกายบ้าง?
- พ่อแม่หรือพี่น้องครอกเดียวกันนี้มีปัญหาผิวหนังแบบเดียวกันหรือไม่?
- ตัวอื่นในบ้านมีอาการเหมือนกันหรือไม่?
- สัตว์ตัวอื่นนอกบ้านมีปัญหานี้หรือไม่ รวมถึงสัตว์เลี้ยงของเราเคยไปสัมผัสหรือไม่?
- เคยได้รับการตรวจหรือรักษามาก่อนหรือไม่? เมื่อไหร่? ผลการรักษาเป็นอย่างไร ตอบสนองเป็นอย่างไร?
ตำแหน่งของร่างกายที่สุนัขที่มักพบว่ามีอาการคัน
โดยปกติแล้ว อาการคันในสุนัข สามารถพบได้เกือบทุกส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นหู หัว หน้า รอบปาก รักแร้ ท้อง ขาหนีบ สะโพก โคนหาง หรือเท้าทั้งสี่ ขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค เช่น
- ไรขี้เรื้อนแห้งมักทำให้สุนัขมีอาการคันที่บริเวณขอบใบหู
- ไรขี้เรื้อนเปียก การติดเชื้อยีสต์ และปัญหาภูมิแพ้ มักพบว่าสุนัขสุนัขชอบแทะหรือเลียที่บริเวณเท้าทั้งสี่
- การแพ้น้ำลายหมัดมักทำให้สุนัขคันและแทะบริเวณสะโพกหรือโคนหางเป็นต้น
การตรวจวินิจฉัยทำได้อย่างไร
การตรวจวินิจฉัย จะทำเพื่อหาสาเหตุของการคันที่แท้จริง ซึ่งมีหลายวิธี เริ่มตั้งแต่
- การสังเกตภายนอกที่ตัวสัตว์ว่ามีความผิดปกติที่ตำแหน่งใด พบพยาธิภายนอก เช่น เห็บ หมัด เหา หรือไม่
- จากนั้นอาจทำการขูดตรวจผิวหนังเพื่อตรวจหาไรขี้เรื้อน
- การเก็บตัวอย่างสะเก็ดผิวหนังจากบริเวณที่มีรอยโรค เพื่อนำไปย้อมสีเพื่อตรวจทางเซลล์วิทยา หาแบคทีเรียและยีสต์
- การเพาะเชื้อรา
- การทดสอบการแพ้อาหาร และการทดสอบการภูมิแพ้ทางผิวหนัง (allergy skin test) เป็นต้น
การรักษาทำอย่างไร
มักใช้การรักษาทางยา ซึ่งยาตัวหลักที่ใช้ คือ กลุ่มยาลดอาการคัน ซึ่งได้แก่ ยาแก้แพ้ (antihistamine) และกลุ่มสเตียรอยด์ (ซึ่งเป็นยาอันตรายและมีผลข้างเคียงสูงมาก ต้องใช้ภายใต้การดูแลของสัตวแพทย์) เพื่อบรรเทาอาการคัน แต่ที่สำคัญต้องหาสาเหตุที่แท้จริง ที่ทำให้สุนัขคัน และใช้ยาให้ตรงจุดให้ได้ครับ เช่น
- หากพบว่าเกิดจากพยาธิภายนอก เช่นหมัด และการแพ้น้ำลายหมัด รวมถึงไรขี้เรื้อน ก็จะให้ยาฆ่าปรสิตภายนอก
- หากพบว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรีย ก็จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ
- หากพบเชื้อยิสต์และรา ก็จะให้ยาฆ่าเชื้อราและยีสต์
- หากมีการแพ้อาหาร ก็ใช้การเปลี่ยนชนิดอาหาร
- ส่วนกรณีที่แพ้สิ่งแวดล้อม เช่นแพ้ฝุ่น ละอองเกสร หรือผงปูน การแก้ไขที่ดีที่สุดคือต้องพยายามหลีกเลี่ยงสารที่ทำให้เกิดการแพ้นั้น แต่ส่วนใหญ่มักจะทำไม่ได้ สัตวแพทย์จึงต้องให้การควบคุมโดยการใช้ยา
โดยหลักการแล้ว สัตวแพทย์จะพยายามใช้ยาในปริมาณที่น้อยที่สุดแต่ต้องสามารถควบคุมอาการคันได้ผล ซึ่งจะมีความแตกต่างกันในสัตว์แต่ละตัว นอกจากนี้ มักมีการใช้แชมพูยาเพื่อประกอบการรักษา ก็จะทำให้ประสิทธิภาพการรักษาดีขึ้นครับ
ระยะเวลาในการรักษา
โดยทั่วไปแล้ว การรักษาโรคผิวหนังจะใช้ระยะเวลาค่อนข้าง "นาน" ประมาณตั้งแต่ 2 สัปดาห์ไปจนถึงหลายเดือน ขึ้นอยู่กับอาการ สาเหตุ และการตอบสนองต่อการรักษา ดังนั้นต้อง "เตรียมใจ" ไว้ก่อนเลย ว่าต้องใช้เวลาพอสมควร และต้องใช้ความสม่ำเสมอ และวินัยในการให้ยา ทั้งยากิน ยาทา หรือยาอาบด้วยครับ
อาจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร. ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และเสริมสร้างภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี