นักท่องเที่ยวที่ได้มีโอกาสไปเที่ยว Hallstatt หมู่บ้านแห่งเหมืองเกลือและเดินไปทางขวาจากท่าเรือเพื่อไปถ่ายรูปจากมุมที่มองกลับมายังท่าเรืออันเป็นจุดถ่ายรูปที่ดีที่สุดนั้น ก่อนกลับถึงท่าเรือควรหาโอกาสไปเที่ยวชมที่ฝังศพของชาวเมืองด้วย ที่ฝังศพซึ่งด้านหน้าเป็นโบสถ์คริสเตียนนี้ เป็นสถานที่ฝังศพที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเพราะมองไปยังวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกนั่นเอง หลุมศพของที่นี่เป็นแบบเวียนเทียนนั่นคือ หลังจากครบ 10 ปี หลุมศพที่เดิมมีศพอยู่จะถูกฝังโดยศพใหม่ เนื่องจากหมู่บ้านมีพื้นที่น้อยมากนั่นเอง นอกจากนี้ในโบสถ์ยังมีที่เก็บกะโหลกศีรษะอีก 1,200 หัว ที่เรียกว่า Beinhaus หรือ Bone House ซึ่งมีอายุย้อนไปถึงปี 1200 โดย 610 หัว ได้รับการตกแต่งด้วยมงกุฎดอกไม้ กะโหลกเหล่านี้ก็จะถูกแทนที่ทุกๆ 10 ปีเช่นเดียวกัน จนครั้งสุดท้ายในปี 1995 ประเพณีการทดแทนกะโหลกเพิ่งสิ้นสุดลง
Bฺone House
นอกจากที่ฝังศพและสุสานกะโหลกแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำอีกแห่งของหมู่บ้านก็คือ Hallstatt Museum มิวเซียมมรดกโลกที่จัดตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 1864 นี้ จะบอกถึงเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเมืองโดยเฉพาะเรื่องเหมืองเกลือย้อนหลังไปร่วม 7,000 ปี ซึ่งก็คือยุคโลหะอันเป็นที่มาของวัฒนธรรม Hallstatt เรื่อยมาถึงช่วงที่เมืองถูกเผาในปี 1750 ของจัดแสดงจะมีข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน ศาสนาและวัฒนธรรมของชาว Illyrs, Celts และโรมัน และการค้าเกลือ วิธีการจัดแสดงจะมีการใช้สื่อที่หลากหลายที่ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่มักให้ความสนใจกับสื่อแบบ Interactive ด้วย
Display ความเป็นอยู่
ประวัติศาสตร์ของเหมืองเกลือในยุคแรกแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มทางเหนือ 1400-800 ปีก่อนคริสตกาล กลุ่มตะวันออก 800-300 ปีก่อนคริสตกาล และกลุ่มตะวันตก ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 1 การค้นพบทองแดงในช่วง 200 ปีก่อนคริสต์ศักราชส่งผลให้เครื่องไม้เครื่องมือดีขึ้นจนทำให้เหมืองเกลือมีความสามารถมากพอที่จะตอบสนองต่อความต้องการเกลือที่สูงมากได้อย่างเพียงพอ การผลิตเกลือสามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วอีกครั้งเมื่อมนุษย์ค้นพบเหล็กซึ่งทำให้เครื่องมือก้าวหน้าขึ้นไปอีก การศึกษาทางด้านโบราณคดีพบว่า ในหลุมศพของชาวบ้านตั้งแต่โบราณโดยเฉพาะอย่างยิ่งคหบดีผู้จัดการเหมืองมักมีการฝังทรัพย์สินไว้ด้วยทำให้คนรุ่นหลังสามารถที่จะเรียนรู้วัฒนธรรมและชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาได้ ในหลุมศพจะมีข้าวของเครื่องใช้จากสถานที่ต่างๆ ทุกมุมโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งยุโรปอันแสดงให้เห็นว่าหมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นศูนย์กลางของการค้าขายมาก่อน
Skull Collection
ในช่วง 400 ปี ก่อนคริสต์กาล กลุ่ม Celts กลายเป็นผู้ปกครองบริเวณ Hallstatt แต่เนื่องจากชนชาติ Illyric ซึ่งมีอิทธิพลอยู่เก่าเป็นกลุ่มคนที่สามารถจะปรับวัฒนธรรมใหม่ให้เข้ากับวัฒนธรรมเดิมได้ดีจึงทำให้คนแถบนี้ไม่ได้รับอิทธิพลจากกลุ่ม Celts มากนัก หมู่บ้านแห่งนี้สามารถดำเนินชีวิต อย่างปกติสุขต่อมาอีกนับพันปีจนถึงวันที่ 20 กันยายนปี 1750 เมื่อเจ้าของร้านเบเกอรี่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่บ้านเลขที่ 61 ก่อเตาเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับห้องอย่างขาดความระมัดระวังทำให้ไฟไหม้และลุกลามไปอย่างรวดเร็วจนเผาตลาดวอดวายไปทั้งสิ้น 35 หลังคาเรือน รวมทั้งโบสถ์และโรงพยาบาลด้วย รัฐบาลจึงได้สร้างโบสถ์ใหม่ขึ้น รวมทั้ง อพาร์ตเม้นท์สำหรับข้าราชการ อีกทั้งยังยกเว้นภาษีให้กับชาวบ้านที่ประสบเหตุอัคคีภัยในครั้งนั้นเป็นเวลา 5 ปีด้วย
อุปกรณ์ทำเหมืองเกลือ
นักท่องเที่ยวที่ได้มีโอกาสมาเยี่ยมเยือนมิวเซียมแห่งนี้ไม่เพียงจะได้เพลิดเพลินกับของจัดแสดงมากมายเกี่ยวกับหมู่บ้านและเหมืองเกลือแล้ว ยังจะได้เรียนรู้ประวัติเกี่ยวกับหมู่บ้านและเหมืองเกลืออย่างละเอียดลออด้วย
แท่นบูชาโบสถ์หน้า Bone House
วิวจากที่ฝั่งศพ
ของจัดแสดงในมิลเซียม
วัตถุโบราณ
อุปกรณ์ทำเหมือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี