3.การแพ้อาหาร
การแพ้ชนิดนี้ มักเกิดจากการที่สัตว์มีปฏิกิริยาไวเกินต่อโมเลกุลของ “โปรตีน” หรือ “คาร์โบไฮเดรต” ที่ผสมอยู่ในอาหารที่กิน โดยสิ่งที่พบว่าเกิดอาการแพ้ได้บ่อย ได้แก่ โปรตีนจากเนื้อไก่ เนื้อวัวและผลิตภัณฑ์จากนม ถั่วเหลือง ข้าวสาลี เป็นต้น สุนัขมักจะมีอาการแสดงออกทางผิวหนัง เช่น คัน ขนร่วง มีผื่นแดงเป็นต้น อาการเหล่านี้จะคล้ายกับการเกิดภูมิแพ้ ซึ่งการวินิจฉัยแยกแยะสามารถทำได้ โดยใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ซึ่งเป็นการทดสอบโดย “การให้/การไม่ให้” อาหารที่สงสัยว่าจะก่อให้เกิดการแพ้ติดต่อกัน โดยเปลี่ยนอาหารของสุนัขเป็นโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตชนิดใหม่ ที่ไม่เคยทานมาก่อนเลยในชีวิต (เช่น ปกติเคยกินสูตรเนื้อวัว หรือเนื้อไก่ ก็ให้ลองเปลี่ยนสูตรอาหารเป็นสูตรอื่น เช่น สูตรที่ทำจากเนื้อแกะ เนื้อกวาง หรือสูตรปลาทะเลน้ำลึกแทน (ไม่ใช่เปลี่ยนจากยี่ห้อ A เป็นยี่ห้อ B แต่เป็นเนื้อวัวเหมือนเดิมและเปลี่ยนแค่กลิ่นหรือรสชาติเท่านั้น) และที่สำคัญ สมาชิกทุกคนในบ้านต้องให้ความร่วมมือในการงดให้ขนม หรือของขบเคี้ยวที่ปรุงแต่งกลิ่น แต่งรสสังเคราะห์ รวมถึงอาหารที่เคยทานอยู่เดิมทุกอย่างด้วย อนุญาตให้เพิ่มได้เฉพาะผักและผลไม้ได้เท่านั้น (ห้ามใจอ่อน แอบบอกว่า สงสารเพราะไม่ยอมกินอาหารใหม่เลย (ไม่ต้องกลัวครับ สุนัขฉลาดพอที่จะไม่ยอมอดตายแน่) ใช้เวลาช่วงแรกแค่ประมาณไม่เกิน 7 วัน เขาก็จะปรับตัวรับอาหารใหม่ได้ วิธีนี้จึงขึ้นอยู่กับเจ้าของว่าใจแข็งเพียงไรครับ ถ้าใจเจ้าของไม่แข็งล่ะก็ เราก็จะไม่ทราบว่า สุนัขแพ้อาหารจริงหรือไม่ หากมีการแอบให้อาหารและของขบเคี้ยวอื่น
หากทดสอบด้วยวิธีนี้ โดยการให้ทานอาหารใหม่แล้ว สัตว์มีอาการดีขึ้น คือไม่มีอาการคัน หรืออาการคันลดน้อยลงแล้วละก็ ค่อนข้างมั่นใจได้เลย ว่าสัตว์เลี้ยงของเรามีแนวโน้มที่จะแพ้อาหารได้ครับ
4.โรคภูมิแพ้
ภูมิแพ้นี้ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในสุนัข ซึ่งอาจเป็นการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากพ่อ-แม่ ไปยังลูกได้
- สายพันธุ์ที่มักพบปัญหาภูมิแพ้ได้บ่อย ได้แก่ พุดเดิ้ล ชิห์สุ ปั๊ก บุลด็อก โกลเด้น และ ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ เป็นต้น
- อายุที่เริ่มแสดงอาการคือ ช่วงประมาณ 1-3 ปี โดยสุนัขจะมีปฏิกิริยาไวเกินต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ ละอองเกสรดอกไม้ หญ้า เป็นต้น
- อาการที่พบคือ คัน เลียง่ามเท้า เกาหน้า หูอักเสบบ่อยๆ ติดเชื้อแบคทีเรียและยีสต์ได้ง่าย มักจะเป็นเรื้อรัง และเกาจนผิวหนังบริเวณนั้นหนาตัวและเปลี่ยนเป็นสีดำ
การรักษา จำเป็นต้องปรึกษาสัตวแพทย์ เนื่องจากรักษาไม่หายขาด แต่จะใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการระคายเคือง ควบคุมอาการคัน ซึ่งตัวหลักที่ใช้ คือ กลุ่มยาลดอาการคัน ได้แก่ ยาในกลุ่มแก้แพ้ (antihistamine) และสเตียรอยด์ ซึ่งเป็นยาอันตรายและมีผลข้างเคียงสูงมาก ต้องใช้ภายใต้การดูแลของสัตวแพทย์เท่านั้น รวมถึงการติดเชื้อแทรกซ้อนไปกันตลอดชีวิต คล้ายคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ แต่หลักการก็คือจะพยายามใช้ยาให้น้อยที่สุดที่จะสามารถควบคุมไม่ให้เกิดอาการคันได้ครับ
การรักษาโรคผิวหนัง นอกจากใช้การควบคุมโดยยากินแล้ว การใช้ยาทา หรือแชมพูยาเพื่อช่วยในการรักษาก็มีความสำคัญและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้มากครับ โดยทั่วไปการอาบน้ำด้วยแชมพูยา ควรอาบน้ำสุนัขเฉลี่ยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง และแต่ละครั้งควรฟอกทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาทีเพื่อให้ตัวยาในแชมพูออกฤทธิ์เต็มที่
แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดให้เกลี้ยงครับ
การเลือกใช้แชมพู ควรเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพผิวหนังของสุนัข เช่น แชมพูสำหรับผิวแพ้ง่าย ผิวมัน ผิวแห้ง ผิวหนังมีการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา หรือยีสต์เป็นต้น ซึ่งควรใช้ตามคำแนะนำของสัตวแพทย์นะครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี