นักท่องเที่ยวต่างประเทศทั่วอาเซียนรู้จักเพลงลอยกระทงเป็นอย่างดีจนคิดว่านี่คือ เพลงประจำชาติไทย ไม่มีใครที่มาเมืองไทยแล้วไม่อยากลอยกระทงและร้องเพลงวันเพ็ญเดือนสิบสอง ในขณะที่มหกรรมหุ่นโลกกรุงเทพอยู่เต็มเมืองในวันที่ 1-10 พฤศจิกายนนี้ลอยกระทงปีนี้จึงดูครึกครื้นไปพร้อมกันทุกภาค อาทิตย์ขอหลงทางไปลอยกระทงหาภูมิปัญญาเรื่องนํ้าที่สืบทอดกันมานานแล้ว จากหนังสือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ นั้นได้กล่าวถึงพิธีจองเปรียงไว้ว่า “การพระราชพิธีจองเปรียงในวันเพ็ญเดือน 12 เป็นนักขัตฤกษ์ชักโคมลอยบรรดาประชาชนชาย-หญิงต่างตกแต่งโคมชักโคมแขวนโคมลอยทุกตระกูลทั่วทั้งพระนคร แล้วก็ชวนกันเล่นมหรสพสิ้นสามราตรีเป็นเยี่ยงอย่าง แต่บรรดาข้าเฝ้าฝ่ายราชบุรุษนั้น ต่างทำโคมประเทียบบริวารวิจิตรด้วยลวดลายวาดเขียนเป็นรูปสัณฐานต่างๆ ประกวดกันมาชักมาแขวนเป็นระเบียบเรียบราบตามแนวโคมชัยเสาระหงตรงหน้าพระที่นั่งชลพิมาน ถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงพระราชอุทิศสักการะพระมหาเกศธาตุจุฬามณีในชั้นดาวดึงส์ ฝ่ายพระสนมกำนัลก็ทำโคมลอยร้อยด้วยบุปผชาติเป็นรูปต่างๆ ประกวดกันถวายให้ทรงอุทิศบูชาพระพุทธบาทซึ่งประดิษฐานยังนัมมทานทีแลข้าน้อย (นางนพมาศ) ก็กระทำโคมลอยคิดตกแต่งให้งามประหลาดกว่าโคมพระสนมกำนัลทั้งปวง ครั้นเวลาพลบคํ่า สมเด็จพระร่วงเจ้าเสด็จลงพระที่นั่งชลพิมานพร้อมด้วยอัครชายา พระบรมวงศ์และพระสนมกำนัลนางท้าวชาวชะแม่ทั้งปวง พราหมณ์ก็ถวายเสียงสังข์อันเป็นมงคล ชาวพนักงานก็ชักสายโคมชัยโคมประเทียบบริวารขึ้นพร้อมกัน เพื่อจะให้ทรงพระราชอุทิศสักการบูชาพระจุฬามณี ฝ่ายนางท้าวชาวชะแม่ก็ลอยโคมพระราชเทพี พระวงศานุวงศ์โคมพระสนมกำนัล ก็เป็นลำดับกันลงมา ถวายให้ทอดพระเนตรและทรงพระราชอุทิศ ครั้นถึงโคมรูปดอกกระมุทของข้าน้อย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตร พลางทางตรัสชมว่าโคมลอยอย่างนี้งามประหลาด ยังหาเคยมีไม่ เป็นโคมของผู้ใดคิดกระทำ ท้าวศรีราชศักดิโสภาก็กราบบังคมทูลว่าโคมของนพมาศธิดาพระศรีมโหสถ...ครั้นสมเด็จพระร่วงเจ้าทรงสดับ ก็ดำรัสว่าข้าน้อยนี้มีปัญญาฉลาดสมกับที่เกิดในตระกูลนักปราชญ์...จึงมีพระราชบริหารบำหยัดสาปสรรว่า แต่นี้สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศ ถึงการกำหนดนักขัตฤกษ์วันเพ็ญเดือน 12พระราชพิธีจองเปรียงแล้วก็ให้กระทำโคมลอยเป็นรูปดอกกระมุทอุทิศ สักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานที ตราบเท่ากัลปาวสาน”
จากเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องสรุปการทำโคมลอยรูปดอกกระมุทหรือดอกบัว ที่สืบทอดกันมาจนทุกวันนี้ โดยมีนัยแห่งการบูชาพระเกศธาตุจุฬามณีในวันขึ้น 15 คํ่าเดือน 12 ต่อมาภายหลังได้มีผู้กำหนดให้เป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อแม่นํ้าหรือแม่พระคงคาและเชื่อในเรื่องการบูชารอยพระพุทธบาทริมฝั่งแม่นํ้านัมมทานทีและบูชาพระอุปคุตอรหันต์ ทำให้การลอยกระทงมีทั้งในแม่นํ้าและลอยโคมขึ้นฟ้าด้วยความเชื่อหลากหลายประการ จากกระทงกาบกล้วย กระทงใบตองของเดิมนั้นได้กลายเป็นสิ่งประดิษฐ์คิดค้นจนกลายเป็นค่านิยมใหม่ จากงานฝีมือผู้หญิงที่เรียนรู้การเย็บกระทงจากฝ่ายในอย่างโบราณนั้นได้ถูกสร้างเป็นกระทงประกวดใหญ่โตมโหฬารจนเป็นการตกแต่งเรือไฟให้ไหลลอยไปตามนํ้า โดยหารู้ภูมิปัญญาที่แท้จริงว่าเป็นเรื่องที่คนโบราณใช้สอนให้ชาวไร่ชาวนาให้รู้คุณของแม่นํ้าที่ใช้ในการเกษตรโดยใช้ช่วงเวลานํ้าขึ้นในคืนวันเพ็ญนั้นไหลพากาบกล้วยหรือกระทงใบตองที่ลอยไปติดอยู่บนดินในยามนํ้าลงและกลายเป็นปุ๋ยธรรมชาติสำหรับการเพาะปลูกในฤดูหน้าโดย
ไม่ต้องใช้ปุ๋ยอื่น การเรียนรู้ทางนํ้าที่ไหลจากที่สูงสู่ที่ตํ่านั้นได้ทำให้มีการจัดการนํ้ารู้วิธีขุดดินทำให้เป็น “บาง” สำหรับขังนํ้าไว้ใช้ในสวนในนาที่นํ้าทะเลหนุนขึ้นมา ทำให้หลายตำบลที่อยู่ริมนํ้านั้นมีชื่อตำบลนำหน้าด้วยคำว่า “บาง” อยู่ทุกแห่งตั้งแต่ปากอ่าวไทยจนถึงอยุธยา ที่เป็นเหตุให้เชื่อว่าวรรณกรรมดังกล่าวนั้นไม่น่ามีขึ้นในยุคสุโขทัย สมัยไหนไม่ว่ากัน แต่การลอยกระทงในปัจจุบันนี้ได้มีการลอยโคมลอยยี่เป็งหรือว่าวฮมในภาคเหนือ ลอยกระทงสายที่ตาก ไหลเรือไฟที่นครพนมและกระทงกาบกล้วยที่สมุทรสงคราม เป็นเรื่องคิดลอยกันไปเพื่อทำให้รู้สึกได้ว่านํ้านั้นมีคุณต่อการเกษตรของแผ่นดิน และสวนทางการเสียตัวของหญิงสาวในคืนวันเพ็ญ ที่ได้กลายค่านิยมจนเป็นกระทงหลงทางไปเสียแล้วจริงๆ
จุดโคมลอยขึ้นฟ้าแทนการลอยกระทง
กระทงกาบกล้วยที่ใช้ลอยแต่โบราณ
การลอยกระทงสายจากกะลา
งานลอยกระทงที่สุโขทัย
ตำรับนางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์
การทำกระทงของชาวบ้านทั่วไป
สุโขทัยต้นแบบลอยกระทงตามตำนาน
ประเพณีกระทงสุโขทัย
บวงสรวงก่อนลอยกระทง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี