เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวในศาล
ปัตตานีหรือตานีนั้นเป็นเมืองสำคัญในอดีตมีฐานะเป็นเมืองที่มีรายาครองดินแดนโบราณในสมัยอยุธยาแต่คนรู้จักเรื่องเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมากกว่า อาทิตย์นี้จึงตามรอยหาภูมิเมืองแห่งนี้ไปกับศจ.ดร.อภินันท์ โปษยนนท์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งมีโครงการจัดสร้างหอนิทรรศน์สานอารยธรรมจังหวัดปัตตานีขึ้น ตามที่กระทรวงได้สนับสนุนงบประมาณ๑๗.๓๕ ล้านบาทร่วมกับท้องถิ่น ความสนใจแรกคือ เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวนั้นเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวของเมืองนี้ หลังตรุษจีนทุกปีนั้นเมืองนี้มีชาวไทยจีนทั่วประเทศ รวมทั้งชาวจีนในประเทศใกล้เคียงเดินทางมาด้วยความเลื่อมใสและศรัทธาต่อความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวกันมากมาย มีพิธีลุยน้ำข้ามแม่น้ำปัตตานีและพิธีลุยไฟ ทำให้เรื่องราวของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวนั้นมีความสนใจกว้างขวางขึ้น มีเรื่องเล่ากันต่อมาว่า เมื่อสมัยพระเจ้าซื่อจงฮ่องเต้ แห่งราชวงศ์เหม็ง ประมาณพ.ศ. ๒๐๖๕ - ๒๑๐๙ นั้น ลิ้มกอเหนี่ยว หญิงสาวชาวจีนตระกูลลิ้มซึ่งมี"ลิ้มโต๊ะเคี่ยม"เป็นพี่ชายรับราชการอยู่มณฑลฮกเกี้ยน เมื่อบิดาถึงแก่กรรมทำให้ลิ้มกอเหนี่ยวต้องเฝ้าดูแลมารดาเพียงลำพัง เนื่องจากลิ่มโต๊ะเคี่ยม ถูกขุนนางใส่ร้ายว่าสมคบกับโจรสลัดญี่ปุ่นเข้าปล้นตีเมืองตามชายฝั่ง จึงถูกทางราชการประกาศจับ และหลบหนีออกจากประเทศจีนกับพรรคพวกไปอาศัยอยู่ที่เกาะไต้หวัน ต่อมาได้ นำสินค้ามาขายที่สุวรรณภูมิเดินทางมาขึ้นท่าสุดท้ายที่เมืองปัตตานี บ้านกรือเซะด้วยลิ้มโต๊ะเคี่ยมมีความรู้เป็นนายช่าง จึงหล่อปืนใหญ่๓กระบอก คือ ศรีนครี มหาลาลอ และนางพระยาตานี ให้เจ้าเมืองปัตตานี ขณะนั้นเป็นที่พอพระทัยมาก จึงยกธิดาให้แต่งงานด้วย โดยลิ้มโต๊ะเคี่ยม ยอมเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม
รูปเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
หลายปีต่อมามารดาซึ่งอยู่ที่ประเทศจีน ไม่เห็นบุตรชายกลับมาและไม่ส่งข่าว ก็มีความคิดถึงเป็นห่วงไม่เป็นอันกินอันนอน ลิ้มกอเหนี่ยวสงสารมารดา จึงรับอาสามารดาออกติดตามพี่ชาย ออกเดินทางโดยเรือสำเภาติดตามมาจนถึงประเทศไทย และได้พบพี่ชายที่บ้านกรือเซะ ได้พำนักอยู่เป็นเวลานานและชักชวนให้พี่ชายกลับประเทศจีนพบมารดาหลายครั้ง แต่ลิ้มโต๊ะเคี่ยมปฎิเสธ เนื่องด้วยกำลังเป็นผู้อำนวยการก่อสร้างมัสยิดกรือเซะ ขณะนั้น ด้วยความกตัญญูต่อมารดาไม่อาจนำพี่ ชายกลับบ้านได้ จึงได้ทำอัตตวิบากกรรมที่ใต้ต้นมะม่วงหิมพานต์ ใกล้กับมัสยิด ลิ้มโต๊ะเคี่ยมกับพวกต่างโศกเศร้าอาลัยยิ่ง จึงพร้อมกันจัดการศพตามประเพณีและได้สร้างสุสานหรือฮวงซุ้ยไว้ในบริเวณบ้านกรือเซะ ตำบลตันหยงลุโล๊ะ อำเภอเมืองปัตตานี บรรดาคนจีนสมัยนั้นต่างศรัทธาถึงความกตัญญู ซื่อสัตย์ และรักษาคำมั่นสัญญาของลิ้มกอเหนี่ยวจึงพากันไปกราบไหว้บูชาสุสานและต้นมะม่วงหิมพานต์ จนเกิดนิมิตและอภินิหารให้ชาวบ้านที่ไปบนบานนั้นต่างพากันหายเจ็บไข้ได้ป่วยและมีโชคลาภ ทำมาค้าขายเจริญรุ่งเรือง เป็นที่เคารพสักการะมาจนบัดนี้ ต่อมาได้มีการนำเอาต้นมะม่วงหิมพานต์นั้นมาแกะสลักเป็นองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ประดิษฐานไว้ในศาลเจ้าที่บ้านกรือเซะ ตำบลตันหยงลุโล๊ะ ให้ประชาชนสักการะบูชาด้วย ประมาณปี พ.ศ.๒๔๒๗ พระจีนคณานุรักษ์(ตันจูล่าย) ซึ่งเป็นหัวหน้าชุมชนจีนในสมัยนั้น เห็นว่าศาลเจ้าซึ่งประดิษฐานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่สุสานบ้านกรือเซะ ชำรุดเก่าและอยู่ห่างไกลเป็นระยะทางถึงประมาณ ๘ กิโลเมตรจากเมือง จึงได้อัญเชิญองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวจากบ้านกรือเซะมาประดิษฐานที่ศาล เจ้าโจวซูกงหรือซือซูกงคือพระหมอซึ่งอยู่ในตลาดจีนเมืองปัตตานี เรียกชื่อศาลเจ้าใหม่ว่า ศาลเจ้าเล่งจูเกียง หรือ ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน๓ทุกปี ของงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวนั้นได้มีการจัดงานตั้งแต่วันขึ้น๘ ค่ำ เดือน ๓ รวม๗วัน๗คืน โดยงานนี้มีมหรสพสองอย่างที่ขาดไม่ได้ คือ งิ้ว และมโนห์รา แสดงหน้าศาลเจ้า นับเป็นสื่อสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมของไทย จีน อิสลามที่เป็นอัตลักษณ์ของปัตตานีที่สร้างความมั่นคงให้ยั่งยืนตลอดมาด้วยความศรัทธาต่อเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ผู้เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองนี้
พระหมอประธานของเทพในศาลเจ้า
ภาพเขียนในศาลเจ้าแม่
ขอเงินทำทุนจากเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
กระถางธูปทองเหลืองสมเด็จพระเทพรัตน์ฯถวายเจ้าแม่
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมกับเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
พิธีเชิญเจ้าแม่ลงแม่น้ำ
ศาลเจ้าเล่งจูเกียง
สุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวแต่เดิม
สุุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวในปัจจุบัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี