หลักสูตรประกาศนียบัตรธรรมาภิบาลทางการแพทย์ สำหรับผู้บริหารระดับสูง รุ่นที่ 3
โดย สถาบันพระปกเกล้า และ แพทยสภา
แพทยสภา ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2511 และประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้เริ่มใช้ในวันที่ 9 ตุลาคม 2511 จึงครบรอบ 46 ปี ในปีนี้ วงการแพทย์มีการพัฒนาแบบก้าวกระโดดในทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งด้าน “การแพทย์เพื่อความเป็นเลิศ” และ “ด้านการสาธารณสุขเพื่อมวลชน” ซึ่งแพทยสภามีหลายสถานภาพ ดูแลตั้งแต่การผลิตแพทย์ทั่วไปผ่านคณะแพทยศาสตร์ต่างๆ เริ่มจาก 4 แห่ง มาเป็น 21 แห่งในปัจจุบัน ผลิตแพทย์ทั่วไปปีละ 2,500-2,800 คน พัฒนามาเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผ่านราชวิทยาลัยฯ ที่ตั้งโดยแพทยสภาทั้ง 14 แห่ง ปีละกว่า 1,500 คน ใน 81 สาขาความเชี่ยวชาญไปจนถึงการดูแลมาตรฐานการรักษาพยาบาลของแพทย์กว่า 49,000 คน ในฐานะทั้ง “ผู้ออกแบบกฎ” และ “ผู้คุมกฎ” ตลอดจนเป็น “ที่ปรึกษา” ของรัฐบาล ภาครัฐ และเอกชนในด้านต่างๆ เพื่อดูแลสุขภาพของประชาชนทั้ง 65 ล้านคน ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ซึ่งในวันนี้การแพทย์ไทยก้าวหน้าจนหลายประเทศทั่วโลก ต่างจับตามอง
ปัจจุบันมีนวัตกรรม (Innovation) ใหม่ๆ เกิดขึ้นทั้งด้านการรักษาพยาบาล และด้านการจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัยบนความประหยัดในด้านการเงิน การคลัง หรือ Healthcare Financing ในประเทศไทย มี 4 กองทุน คือ 30 บาทรักษาทุกโรค, สวัสดิการการรักษาพยาบาลของข้าราชการ, กองทุนประกันสังคม และกองทุนเงินครัวเรือนของตนเอง แพทยสภาต้องกำกับดูแลมาตรฐานของแพทย์ไทยท่ามกลางความจำกัดของงบประมาณ ความขาดแคลน สิทธิประโยชน์ที่แตกต่าง กฎหมายใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า การฟ้องร้องและคุ้มครองสิทธิ์ รวมถึงผลกระทบของการเมืองในและต่างประเทศ ท่ามกลางกระแสความเติบโตของภาครัฐและภาคเอกชน ทำให้ภาระรับผิดชอบเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นการที่ “แพทยสภา” จะดำรงความเป็นธรรมต่อสังคมอยู่ได้ จำเป็นจะต้องมีหลัก “ธรรมาภิบาล” ในการบริหารจัดการทั้งระบบ พร้อมกับมีการเรียนรู้ต่อเนื่องเพื่อให้เข้าใจและเท่าทันกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในสังคม และเข้าใจประชาชนยุคปัจจุบัน
ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลง ปัญหาความขาดแคลนทรัพยากร เครื่องมือ และบุคลากรทางการแพทย์ ปัญหาภาระงานมากเกินกำลังสร้างปัญหาในการรักษาพยาบาล ตามด้วยปัญหาไม่เข้าใจกันของแพทย์และผู้ป่วยจากการสื่อสารที่ไม่สมบูรณ์ความคาดหวังที่เกินจริง และความรู้ด้านสุขภาพที่ไม่เท่ากัน ก่อให้เกิดความขัดแย้งในวงการสาธารณสุข ในปี พ.ศ. 2553 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งประทับอยู่โรงพยาบาลศิริราช ทรงมีความห่วงใยต่อปัญหาความขัดแย้งในสังคมของวงการแพทย์ท่านทรงมีพระราชดำรัสต่อ ศ.นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล และกรรมการแพทยสภาในสมัยนั้น ตอนหนึ่งว่า ในยุคที่มีความขัดแย้งนี้ควรแก้ปัญหาโดยหลักการ “อ่อนน้อมถ่อมตน ทุกคนมีดี อย่าดูถูกใคร” กรรมการแพทยสภา จึงได้น้อมรับพระราชดำรัสใส่เกล้าฯ นำมาขยายความสร้างเป็น “หลักสูตรธรรมาภิบาลสำหรับผู้บริหารทางการแพทย์” โดยได้รับความร่วมมือจากสถาบันพระปกเกล้า นำผู้บริหารใน 6 เสาหลักที่เกี่ยวข้องทางด้านการแพทย์ มาเรียนรู้ร่วมกัน ได้แก่
1.แพทย์ในกระทรวงสาธารณสุข : ซึ่งดูแลประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศไทย โดยเฉพาะคนยากจน
2.ครูแพทย์ : ซึ่งเป็นผู้สร้างแพทย์มารับใช้ประชาชนใน 21 คณะแพทยศาสตร์ ปีละกว่า 2,500 ราย
3.แพทย์ภาครัฐอื่นๆ : ที่มีภารกิจเฉพาะ อาทิ ตำรวจ ทหาร กทม. ไปจนถึงสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน
4.แพทย์เอกชน : เป็นทางเลือกดูแลประชาชนที่มีรายได้ดูแลตัวเองได้
5.ผู้บริหารภาครัฐอื่นที่ไม่ใช่แพทย์ : ทั้งทางกฎหมาย การเงิน การคลัง เศรษฐกิจ สังคมและการเมือง
6.ผู้บริหารภาคเอกชนอื่นๆ : ได้แก่ ผู้แทนภาคประชาชน มูลนิธิ รวมถึงบริษัท และกิจการเอกชนอื่นๆ
ภาพกิจกรรม และงานสังสรรค์สร้างความสามัคคี ปธพ.3 ในสไตล์ลูกทุ่ง “มนต์รัก กระดังงา-ขมิ้นชัน” เป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย และสอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจแบบพอเพียง
โดยเจ้าภาพร่วม 2 กลุ่ม กลุ่มกระดังงา (แม่งาน) นุชนาถ วสุรัตน์ และกลุ่มขมิ้นชัน (แม่งาน) สุชัญญา ธนาลงกรณ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี