พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสุพรรณบุรี
การแสดงเรื่อง พระมหาชนก ที่จัดขึ้นอย่างอลังการ์ที่ผ่านมานั้น มีความน่าสนใจอยู่ตอนหนึ่งที่มีการกล่าวถึงว่า เมื่อพระมหาชนกเติบใหญ่ และได้ทราบความจริงจึงคิดจะไปค้าขายตั้งตัว แล้วจะไปเอาราชสมบัติคืน จึงนำสมบัติกึ่งหนึ่งของพระมารดาไปขาย แลกเป็นสินค้าโดยออกเรือไปยังสุวรรณภูมิ ระหว่างทางในมหาสมุทร เรือต้องพายุล่มลง ลูกเรือตายหมดยังแต่พระมหาชนกรอดผู้เดียว ทรงอดทนว่ายน้ำในมหาสมุทรด้วยความเพียร๗วัน๗คืน จนพบนางมณีเมขลาซึ่งได้อุ้มพระมหาชนกไปส่งยังมิถิลานคร อาทิตย์นี้จึงขอตามหา “สุวรรณภูมิ” ที่ปรากฏชื่อในเรื่องดังกล่าวว่ามีภูมิบ้านภูมิเมืองอยู่ที่แห่งใด หากแปลเอาความก็จะหมายถึง แผ่นดินทอง หรือกิมหลิน(ตามที่ชาวฮั่นเรียก)ก็รู้สึกว่าคุ้นเคยกันอยู่ ส่วนจะหมายเอาว่า คือ แหลมทองเป็นแผ่นดินใหญ่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็เห็นจะต้องคุยกันยาว จึงต้องอาศัยหลักฐานทางโบราณคดีทั้งที่พิพิธัภณฑ์แห่งชาติสุพรรณบุรีและอู่ทองมาช่วยกันสนับสนุนว่า เมื่อราว ๒,๕๐๐ปีมานั้น มีดินแดนอุดมสมบูรณ์ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งสัตว์, พืชพันธุ์ธัญญาหาร และแร่ธาตุต่างๆแล้วยังมีกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายที่ล้วนเป็นเครือญาติทางสังคมวัฒนธรรม และเป็นบรรพบุรุษของผู้คนในดินแดนนี้ ในเอกสารสำคัญแต่โบราณเช่น มหาวงศ์ พงศาวดารลังกา ชาดกพุทธศาสนาในอินเดีย และเรื่องนิทานเปอร์เซียในอิหร่าน นั้นได้แสดงให้เห็นถึงหลักฐานว่าชาวสิงหล(ลังกา) ชาวชมพูทวีป(อินเดีย) รวมทั้งชาวอาหรับ-เปอร์เซีย (อิหร่าน) นั้นเป็นนักเดินทางผจญภัยแลกเปลี่ยนค้าขายสิ่งของเครื่องใช้ ต่างพากันเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า สุวรรณภูมิ มาไม่น้อยกว่า ๒,๕๐๐ปีมาแล้วเช่นเดียวกับเรื่องพระมหาชนกที่รู้เรียนกันมาก็คือพระเจ้าอโศกได้ส่งพระโสณเถระและพระอุตตรเถระมาเผยแผ่พุทธศาสนายังดินแดน“สุวรรณภูมิ” ซึ่งปรากฎเรื่องอยู่ในคัมภีร์มหาวงศ์ พงศาวดารลังกา ที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐แม้จะไม่ปรากฎในบันทึกของพระเจ้าอโศกก็ตามก็เชื่อได้ว่าดินแดนสุวรรณภูมิและลังกาในเวลานั้นมีความสัมพันธ์กัน
สถูปเจดีย์แปดเหลี่ยมเมืองอู่ทอง
ด้วยเหตุนี้ สุวรรณภูมิ จึงไม่ใช่ชื่อรัฐหรืออาณาจักร แต่เป็นชื่อดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปัจจุบัน ที่ขนาบด้วยมหาสมุทรแปซิฟิก อยู่ทางด้านทิศตะวันออก กับมหาสมุทรอินเดียอยู่ทางด้านตะวันตก ส่งผลให้ดินแดนสุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนค้าขาย ของโลกตะวันตกคืออินโด-เปอร์เซีย และอาหรับ กับโลกตะวันออก คือจีนฮั่นและอื่นๆ จนมีความมั่งคั่งทำให้เกิดรัฐใหญ่ขึ้นในยุคต่อๆมาในชื่อที่รู้จักกันคือ ทวารวดี, ฟูนัน, เจนละ, ศรีวิชัย, ทวารวดีศรีอยุธยา, ละโว้-อโยธยาศรีรามเทพนคร จนถึงกรุงศรีอยุธยา ฯลฯ ดังนั้นผู้คนจากที่ต่างๆจึงพากันเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งหลักแหล่ง ทำให้เกิดความหลากหลายทางชาติพันธุ์ที่ผสมผสานทางสังคมวัฒนธรรมและเผ่าพันธุ์จนเป็น “คนไทย” และเครือญาติชาติต่างๆในอุษาคเนย์ปัจจุบัน
พระพุทธบาททวาราวดีเขาดีสลัก
หากสรุปกันว่า สุวรรณภูมิ เป็นนามที่คนโบราณนิยมยกย่องใช้เรียกชื่อบ้านเมืองสืบยุคสมัยแล้วก็จะพบว่ามี รัฐสุพรรณภูมิ ตั้งขึ้นหลัง พ.ศ. ๑๖๐๐ จนเป็นเมืองสุพรรณ เมื่อราวหลัง พ.ศ.๑๘๐๐และเมืองสุวรรณภูมิ ในสมัยกรุงธนบุรี พ.ศ. ๒๓๑๕ และจังหวัดสุพรรณบุรีปัจจุบัน
ผังเมืองอู่ทองโบราณ
หลักฐานทางโบราณคดีนั้นพบว่าก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย เมื่อประมาณ ๒๕๐๐-๑๕๐๐ปีนั้นมีชุมชนโบราณที่รู้จักการถลุงแร่โลหะ การใช้เครื่องมือใช้โลหะ และการแลกเปลี่ยนทรัพยากรระหว่างชุมชนโบราณ เช่น เกลือธรรมชาติ แร่ทองแดง ฯลฯกันขึ้น ทำให้มีความสัมพันธ์กันภายในกลุ่มชนยุคก่อนประวัติศาสตร์จนเกิดชุมชนกระจายอยู่ทั่วไปในบริเวณลุ่มน้ำต่าง ๆ ซึ่งพบกลองมโหระทึกสำริด ตะเกียงโรมันสำริด จี้รูปสิงโตทำจากหินกึ่งมีค่า ตุ้มหูรูปกลมมีปุ่มยื่นหรือลิงลิงโอ ลูกปัดแก้วมีตา ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งของเครื่องใช้ที่ผลิตใน จีน อินเดีย ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และดินแดนในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อันเป็นหลักฐานสำคัญถึงสัมพันธ์ภาพของชาวอาเซียโบราณจนเกิดชุมชนใหญ่และเมืองท่าทางชายทะเลของสุวรรณภูมิได้แก่นครปฐม คูบัว (ราชบุรี) ลพบุรี ตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช) และชุมชนใหญ่ในดินแดนสุวรรณภูมิตอนบนได้แก่ หริภุญไชย (ลำพูน) ศรีเทพ (เพชรบูรณ์) ซึ่งล้วนเป็นเมืองสำคัญที่ตั้งขึ้นในดินแดนสุวรรณภูมิโบราณนั่นเอง
ปูนปั้้นรูปบุคคลพบที่สุพรรณบุรี
พระพุทธรูปสำริดยืน
ลายพระพุทธบาทเขาดีสลัก
เหรียญทวาราวดี
รูปสิงโตหินสีส้ม
รูปปั้้นดินเผารูปคนพบที่อู่ทอง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี