อนุสาวรีย์ค่ายบางระจัน-นายจันหนวดเขี้ยวนำพวกเข้าสู้
เรื่องชาวบ้านบางระจันนั้นถูกเล่ากันเสียจนเป็นเรื่องราวให้จดจำ แม้จะไม่ปรากฏเป็นหลักฐานที่อื่นก็ถูกเขียนไว้ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เสียแล้วเพียงฉบับเดียว ภายหลัง“ไม้เมืองเดิม” นำมาแต่งเป็นนิยายชื่อ “บางระจัน”ที่ทำให้ชื่อท้องถิ่น บ้านระจัน ต้องเรียกเป็น บางระจันตามนิยายในที่สุด อาทิตย์นี้จึงตามหาภูมิบ้านของวีรชนที่ อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี ซึ่งมีความกังขามานานว่าเหตุการณ์นี้มีอยู่จริงหรือไม่ เมื่อมีอนุสาวรีย์มีวัดโพธิ์เก้าต้น มีสระน้ำอยู่ในพื้นที่อย่างนี้แล้ว ก็ต้องเชื่อมีสถานที่มีกลุ่มคนอยู่จริงไว้ก่อน แต่เหตุการณ์สู้รบที่เล่ากันเป็นตุเป็นตะให้มีการสู้รบต้านทัพพม่าให้ยาวนานเกือบครึ่งปีอยู่ 5 เดือนนั้น ก็ดูขัดแย้งกันจากความน่าจะเป็น อย่างน้อยการสู้รบคงไม่พ้นหน้าน้ำหลากใน 3 เดือน ต้องจบศึกให้ได้ ยิ่งมีตัวละครปรากฏชื่อกันเป็นกลุ่มด้วยแล้วก็เชื่อได้เลยว่าจะย่อมรู้กันได้ยากนัก นอกจากแต่งเป็นนิยายให้สนุกสนานกัน อย่างมากก็รู้แค่ผู้นำกลุ่มไม่กี่คนและเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นในหลายแห่งในเส้นทางผ่านของข้าศึกที่ผู้คนต้องพากันหลบหนี พากันต่อสู้ พากันตาย
พันเรือง
ดังมีชื่อตำบลให้เรียกอยู่ เช่น โพรงซ่อนนาง ทัพทันสว่างแจ้งสบายใจ ซึ่งมีนายด่านตั้งค่าย มีนายซ่องสุมกำลัง มีพระรวมคน เป็นต้น ดังนั้น หลายท้องที่จึงมีคนสู้กับข้าศึกอยู่ทั่วไปตามชายแดนตั้งแต่ด้านเจดีย์สามองค์ (อ.สังขละ จ.กาญจนบุรี) ขึ้นมาถึงด่านแม่กลองหนองหลวง (อ.อุ้มผาง จ.ตาก) แต่ไม่เป็นเรื่องเป็นราวเท่า “บ้านระจัน” ที่มีผู้คนหนีตายมารวมตัวกันเป็น
กลุ่มใหญ่ออกไปต้านทัพพม่าหลายครั้ง ก่อนการเสียกรุงศรีอยุธยาเมื่อพ.ศ.2310 ด้วยความสามารถการรบและตั้งค่ายป้องกันเพื่อออกไปไล่ตีกองตระเวนของข้าศึกหลายครั้ง จึงถือเป็นความเข้มแข็งยิ่งกว่ากำลังที่ป้องกันกรุงศรีอยุธยา การต่อสู้สุดท้ายที่ทุกคนยอมตายเป็นเดิมพันนั้นถือเป็นวีรกรรมกล้าหาญที่หาได้ยากยิ่งนัก ดังนั้นการสร้างอนุสาวรีย์วีรชนกลุ่มนี้จึงเหมือนอนุสาวรีย์วีรสตรีกลุ่มโคราชที่นำโดยคุณหญิงโม้หรือโม ผู้นำเหล่าสตรีเข้าต้านทัพของเจ้าอนุวงศ์ แต่น่าคิดที่ไม่มีชื่อคนนอกจากบุญเหลือที่แต่งขึ้นทั้งที่เกิดในสมัยรัชกาลที่ 3 ก็ยังไม่มีใครรู้ชื่อดีเหมือนวีรชนบ้านระจันที่บ้านแตกสาแหรกขาด ซึ่งมีเรื่องราวเล่าว่า
พันเรือง-นายจันหนวดเขี้ยว
เมื่อต้นมกราคม พ.ศ.2308นั้นเนเมียวสีหบดี แม่ทัพพม่าหลังปราบกบฏแข็งเมืองได้แล้วก็คิดเลยเข้าตีกรุงศรีอยุธยาจึงยกกำลังมาจากทางเหนือ มาหยุดพักทัพอยู่ที่เมืองวิเศษไชยชาญ แล้วจัดให้ทหารพม่ากองหนึ่งเที่ยวกวาดต้อนทรัพย์สินและผู้คนทางเมืองวิเศษไชยชาญ ทำให้ราษฎรพากันโกรธแค้นต่อการกดขี่ข่มเหงของทหารพม่า จึงแอบคบคิดกันต่อสู้ ในเดือน 3 ผู้คนชาวเมืองวิเศษไชยชาญ เมืองสิงห์บุรี เมืองสรรค์ และชาวบ้านใกล้เคียงได้พากันคบคิดอุบายล่อลวงทหารพม่า ทั้งรวบรวมผู้คนไว้เพื่อทำการต่อไป มีชื่อหัวหน้าคนสำคัญคือ นายแท่น นายโชติ นายอิน นายเมือง ซึ่งต่างล่อลวงทหารพม่า 20 คน ฆ่าและรวบรวมทรัพย์สิ่งของอาวุธที่ต้องการแล้วพากันหนีไปรวมกับชาวบ้านกลุ่มอื่นที่บ้านระจันซึ่งมีวัดโพธิ์เก้าต้น และมีทำเลที่มีชัยภูมิดี ผู้คนจึงพาครอบครัวอพยพและนิมนต์พระอาจารย์ธรรมโชติจากวัดเขานางบวช ที่นับถือว่ามีวิทยาคมเก่งกล้ามาช่วย ต่อมานายแท่นและคนมีชื่ออื่นๆ ก็พาชาวบ้านมาเป็นกำลังได้อีกประมาณ 400 คนเศษพากันมาอยู่ที่บ้านระจัน
ค่ายบางระจันวัดโพธิ์เก้าต้น
หลังจากนั้นได้ตั้งค่ายขึ้นล้อมบ้านระจัน 2 ค่ายเพื่อป้องกันทหารพม่ายกติดตามมาพร้อมกับจัดหากำลังและอาวุธที่หาได้ในพื้นที่นั้น หัวหน้าในบ้านระจันที่มาร่วมกันมีอีก 7 คน คือ ขุนสรรค์ พันเรือง นายทองเหม็นนายจันหนวดเขี้ยว นายทองแสงใหญ่ นายดอก และนายทองแก้ว รวมหัวหน้าแล้วเป็น 11 คน ตั้งกองสู้กับกองกำลังพม่า ได้ถึง 7 ครั้ง ในที่สุดสุกี้ พระนายกองผู้รู้นิสัยการรบของคนไทยดีอาสานำกำลังเข้าตีค่ายใหญ่บ้านระจันได้ ในวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนแปด ปีจอพ.ศ.2309 (วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2309) รวมเวลาสู้รบตั้งแต่เดือน 4 ปลายปีระกา พ.ศ.2308 ถึงเดือนแปด ปีจอ พ.ศ.2309 เป็นเวลา 5 เดือน จุดจบพม่ากวาดต้อนคนไทยในค่ายที่รอดตายกลับไปยังค่ายพม่า ส่วนพระอาจารย์ธรรมโชตินั้น ไม่ปรากฏว่ามรณภาพในค่ายหรือถูกกวาดต้อน หรือหลบหนีไปได้ คงเหลือไว้แต่วัดโพธิ์เก้าต้นและที่ตั้งค่ายให้รู้ได้ว่า เป็นสถานที่ผู้กล้าหาญได้พากันตายเพื่อปกป้องบ้านเมืองตรงนี้ ส่วนจะปลุกให้รักชาติมากขึ้นหรือไม่ก็ดูละครแล้วมโนเหตุการณ์เอาเองก็แล้วกัน
วิหารวัดเขานางบวชปัจจุบัน
โบสถ์วัดโพธิ์เก้าต้น
สระนํ้าในค่ายบ้านระจัน
ค่ายบ้านระจันของชาวบ้าน
พระอาจารย์ธรรมโชติ
นิยายบางระจัน
วีรชนชาวบ้านระจัน
ไม้เมืองเดิม
ศาลนายจันหนวดเขี้ยว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี