...ผมวาดฝันและต้องการผลักดันให้กาแฟแบรนด์ไทยของเรา ขึ้นไปอยู่บนชั้นกาแฟของสถานที่จำหน่าย ที่คนดื่มกาแฟจากทั่วโลกเขาจะรู้จัก ถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่ประเทศผู้ผลิตหลักแต่เราก็สามารถสร้างคาแร็กเตอร์ที่แตกต่าง และทำให้รสชาติออกมาไม่เหมือนใครได้...
เพราะเติบโตมากับ บริษัท จิบเฮงเส็ง จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจหลักเกี่ยวกับการค้าสินค้าการเกษตรของไทย อาทิ ข้าว เมล็ดข้าวโพด น้ำตาล เมล็ดกาแฟ ฯลฯ รวมไปถึงกาแฟคั่วบดโบราณ ภายใต้ชื่อ “นกอินทรี” ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว มากว่า 60 ปีจึงทำให้ อัคคพันธ์ ลีวุฒินันท์ ทายาทรุ่นที่ 3 สั่งสมประสบการณ์การทำธุรกิจไว้อย่างเต็มเปี่ยม และด้วยความเป็นคนรุ่นใหม่ พร้อมจะทำสิ่งที่ท้าทาย เมื่อโอกาสมาถึงเขาก็ไม่รอช้าที่จะสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับกาแฟตรานกอินทรีด้วยการเปลี่ยนชื่อจาก จิบเฮงเซ็ง เป็น บริษัท คอฟฟี่ บีนเนอรี่ จำกัด และสร้างแบรนด์น้องใหม่ “ZOLITO” ผลิตภัณฑ์เมล็ดกาแฟคั่วบด มาให้บรรดาคอกาแฟชาวไทยได้ลิ้มลองเมื่อปี พ.ศ.2540 และได้รับการตอบรับที่ดีไม่เพียงแต่ในประเทศเท่านั้น เขายังกล้าที่จะนำกาแฟไทยไปเติบโตในตลาดต่างประเทศอีกด้วย
“17 ปีของ คอฟฟี่ บีนเนอรี่ กับแบรนด์ ZOLITO ถือเป็นโจทก์ที่ยากในยุคนั้น เรื่องอุปสรรคจึงไม่ต้องพูดถึง เพราะประเทศไทยไม่ได้โด่งดังในเรื่องของกาแฟมากนัก และผมเองก็เติบโตมาจากกาแฟโบราณ แต่บอกเลยว่ากาแฟโบราณตรานกอินทรีนี่แหละที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมหันมาสนใจตลาดเมล็ดกาแฟคั่วบดที่มีมาตรฐานระดับคุณภาพระดับสากล แบรนด์ ZOLITO จึงเกิดจากตรงนั้น แต่ด้วยพฤติกรรมการดื่มกาแฟของคนไทยตอนนั้นไม่เหมือนตอนนี้ ที่อยู่ดีๆ คนจะมานั่งร้านกาแฟเพื่อดื่มกาแฟดีๆ สักแก้ว จะเห็นก็มีแต่ในโรงแรม 5 ดาวเท่านั้น แถมราคาก็ยังสูงมากอีกด้วย แค่ลำพังในประเทศก็เป็นโจทย์ยากมาก”
แม้จะบอกว่ายากแค่ไหน แต่ในที่สุด อัคคพันธ์ ก็สามารถนำกาแฟคั่วบดแบรนด์ ZOLITO ไปเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของคอกาแฟชาวไทย แต่ไม่เพียงแค่นั้น ผู้บริหารหนุ่มตั้งเป้าหมายที่ไกลกว่านั้น ที่อยากจะเห็น ZOLITO เป็นแบรนด์สินค้าไทยในตลาดโลก
“ผมวาดฝันและต้องการผลักดันให้กาแฟแบรนด์ไทยของเราขึ้นไปอยู่บนชั้นกาแฟของสถานที่จำหน่ายที่คนดื่มกาแฟจากทั่วโลกเขาจะรู้จัก ถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่ประเทศผู้ผลิตหลัก แต่เราก็สามารถสร้างคาแร็กเตอร์ที่แตกต่าง และทำให้รสชาติออกมา
ไม่เหมือนใครได้ สิ่งนี้ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเมล็ดกาแฟคั่วบดไทย ซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่ผมคิดว่าเราจะสามารถทำอะไรให้กับผลิตผลทางการเกษตรของคนไทยเราได้”
ในส่วนของผลิตภัณฑ์ตรา นกอินทรี นั้น อัคคพันธ์ บอกว่าในฐานะทายาทรุ่นที่ 3 แม้จะสร้างแบรนด์ไม่แต่ก็ไม่มีวันทิ้งรากเหง้าของตัวเอง ซึ่งเขาได้ทำการปรับปรุงโฉมพร้อมพัฒนาสินค้าที่มีจุดขายอยู่ที่ความเป็น “กาแฟโบราณ” ให้มีความ
น่าสนใจยิ่งขึ้น
“ผมเติบโตมาตั้งแต่ยุคกาแฟโบราณถูกขายในกระป๋องนมถุงเสื้อกล้าม มาจนถึงปัจจุบันที่เป็นกาแฟถุงกระดาษ เพิ่มปริมาณ และชูจุดขายเรื่องการเก็บความเย็น ซึ่งนกอินทรีเมื่อก่อนตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจคือเราเน้นตลาดขายเมล็ดกาแฟให้กับยี่ปั๊ว จากนั้นก็มาเป็นขายส่งให้กับร้านกาแฟโบราณ จากการทำวิจัยตลาด เห็นการเปลี่ยนแปลงของตลาดกาแฟโบราณ ผมมองว่าแทนที่เราจะส่งให้กับร้านกาแฟเพียงอย่างเดียว แล้วแต่ละร้านเขาก็มีสูตรของเขา มันทำให้ลูกค้าก็ไม่รู้หรอกว่านี่คือ นกอินทรีย์ เราจึงได้ปรับโฉมใหม่ให้กับแบรนด์ที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านกาแฟโบราณ โดยมีสูตรเครื่องดื่มของเราเอง สร้างแฟรนไชส์ มีสถาบันที่จะสอนสูตรการชงกาแฟและเครื่องดื่ม ภายใต้แบรนด์ Eagle Coffee ให้กับผู้ที่สนใจมีร้านกาแฟเล็กๆ เป็นของตนเอง หรือผู้ต้องการหารายได้เสริม ด้วยเงินลงทุนที่ไม่สูงมากนัก”
หากจะถามว่าการบริหารธุรกิจของเขาคนนี้ ประสบความสำเร็จแค่ไหน คงพิสูจน์ได้จากรางวัลการันตีผลงานได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นรางวัลพัฒนาผลิตภัณฑ์กาแฟดีเด่น, รางวัล CEO Thailand Award 2014 จากสมัชชานักจัดรายการข่าววิทยุโทรทัศน์หนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ฯลฯ แต่เหนืออื่นใดความร่วมมือร่วมใจกันของผู้ร่วมงานภายในองค์กรกับรางวัลแห่งมาตรฐานคุณภาพ อาทิ ISO 9001: 2008, BRC QAIC GMP HACCP, รางวัล Thailand Trusted Mark จาก กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ฯลฯ ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจที่ช่วยยกระดับคุณภาพการผลิตกาแฟไทยสู่สากล
“ในการทำธุรกิจ แน่นอนว่าย่อมหวังกำไร เพียงแต่กำไรที่ได้มานั้นจะต้องไม่ได้มาจากการเอารัดเอาเปรียบอย่างไร้จริยธรรมและคุณธรรม เพราะวิถีแห่งความสำเร็จที่แท้จริงสำหรับผมคือการมุ่งเน้นพัฒนาคุณภาพมาตรฐานคุณภาพสินค้า เพื่อให้ผู้บริโภคทั่วโลกได้ดื่มกาแฟคั่วบดแบรนด์ไทยที่มีรสชาติดีที่สุดมากกว่า”
นอกเหนือจากงาน เวลาที่เหลือเขาก็ทุ่มเทให้กับครอบครัวเล็กๆ ที่ประกอบด้วย ภรรยา และลูกสาว 2 คน อย่างเต็มที่ เพราะครอบครัวคือกำลังใจสำคัญที่ทำให้เขาก้าวผ่านทุกอุปสรรคมาได้จนทุกวันนี้
“ผมเป็นคนที่ไม่สังคมจัด แต่ถ้าจำเป็นต้องไปออกงานบ้างก็ไป ผมชอบชีวิตที่เรียบง่ายสบายๆ ชอบใช้เวลาทำกิจกรรมต่างๆ กับครอบครัว ไปส่งลูกสาวที่โรงเรียนตอนเช้าก่อนไปทำงาน กลับมารับประทานอาหารเย็นที่บ้านพร้อมหน้ากัน ผมไม่ชอบเลยหากกลับมาบ้านแล้วเห็นลูกๆ นอนหลับกันไปแล้ว เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองบกพร่องในหน้าที่ความเป็นพ่อ
และทุกปีผมจะพาครอบครัวเดินทางท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพราะนอกจากจะเป็นการใช้เวลาพักผ่อนร่วมกันแล้วกับลูกๆ ผมคิดว่าเป็นการพาเขาไปเรียนรู้นอกห้องเรียนที่มีประโยชน์ และเป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวเราจะอยู่กันพร้อมหน้า ได้ใช้เวลาร่วมกันในการทำกิจกรรมต่างๆ อย่างมีความสุขผมว่ามันเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าการซื้อของขวัญราคาแพงๆ ให้พวกเขาเสียอีก สำหรับผม พ่อ แม่ ภรรยาและลูก รวมกันเป็นคำว่าครอบครัว เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่เราควรจะใช้เวลาร่วมกับเขาให้มากที่สุด มันเป็นการหาความสุขที่ใกล้ตัวที่สุดและง่ายที่สุดแล้วครับ”
สมกับเป็นนักธุรกิจตัวอย่างที่สามารถบริหารจัดการได้อย่างลงตัวทั้งเรื่องธุรกิจและครอบครัว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี