ทิวเขาพนมกุเลนสถานที่ศักดิสิทธิ์
การเข้าสู่ประชาคมอาเชียนนั้นทำให้มีการเปิดประตูเพื่อเชื่อมโยงการศึกษาดูงานด้านประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมในประเทศอาเซียนมากขึ้น ด้วยความสนใจจึงมีโอกาสเดินทางไปกับสถาบันอยุธยาศึกษาที่มีโครงการเดินทางเข้าไปชมปราสาทหินในพื้นที่เสียมเรียบและพระวิหาร สถานที่มีปราสาทขอมหลายแห่งที่น่าสนใจในระดับมรดกโลก อาทิตย์นี้ขอตามหาภูมิความเชื่อดั้งเดิมก่อนว่า ทำไมพนมกุเลนจึงเป็นจุดกำเนิดความศักดิ์สิทธิ์และสามารถขยายความเชื่อศรัทธานั้นลงไปสู่บริเวณพื้นที่ราบทำให้มีการสร้างปราสาทหินสำคัญไว้หลายแห่งทั้งในดินแดนกัมพูชาและประเทศไทย
การเดินทางขึ้นพนมกุเลนนั้นไม่ได้ง่ายดายนักด้วยเป็นภูเขาสูง ที่มีความสำคัญแต่อดีตคือเป็นแหล่งหินน้อยใหญ่ที่นำลงไปสร้างปราสาทหินนั่นเอง ประมาณได้ว่าสมัยนั้นมีการลำเลียงหินก้อนขนาดใหญ่ด้วยกำลังของช้าง ม้า โดยมีแรงคนจำนวนมากขึ้นมาชักลากหินก้อนเหล่านั้นลงจากภูเขาไปใช้ในการสร้างปราสาทหินที่อยู่ด้านล่างนั่นเอง หากเทียบระยะทางระหว่างปราสาทแต่ละแห่งแล้ว นึกภาพได้เลยว่างานสลักหิน-ชักลากหินนั้นหนักหนาเอาการ ไม่ล้มตายก็เห็นจะยากเพราะทั้งไข้ป่าและอุบัติเหตุจากการสกัดหิน ลากหินนั้นหาได้สะดวกสบายจนไม่ตายง่ายนั้นยากแท้ พนมกุเลนแห่งนี้มีชื่อในสมัยโบราณว่า มเหนทรบรรพต เป็นต้นเขากำเนิดของแม่นํ้าเสียมเรียบ ที่เรียกพนมกุเลนนั้นให้ความหมายจากการเป็นทิวเขาที่มีลิ้นจี่ป่าอยู่มาก-กุเลนในภาษาเขมรลิ้นจี่ป่า จุดเด่นของพนมกุเลนนี้อยู่ที่สายน้ำซึ่งไหลจากภูเขานี้ผ่านความเชื่ออันมหัศจรรย์ กล่าวคือด้านบนนั้นมีแหล่งนํ้าผุดขึ้นบนเขาและผุดขึ้นทุกวินาฑีโดยผ่านการกรองจากทรายละเอียดสีขาวดุจทะเลนํ้านมจนมองเห็นเป็นการกวนในเกษียรสมุทรจนนํ้าใสแจ๋ว จึงเชื่อว่าเป็นนํ้าศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์เช่นเดียวกับนํ้าอมฤตที่เกิดขึ้นตามตำนานของการกวนเกษียรสมุทรที่มีพญานาคราชพันเขาพระสุเมรุที่มีหมู่เทวดาและยักษ์ดึงลำตัวพญานาคกวนน้ำในมหาสมุทรโดยมีเต่าใหญ่รองรับเป็นแกนหมุนอย่างภาพที่ปรากฏตามหน้าบันและภาพสลักในเรื่องนี้นั่นเอง พนมกุเลนแห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ไม่มีหลักฐานว่าพระองค์ประทับที่พนมกุเลนนานเท่าไร ภายหลังพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 เสด็จกลับมาครองราชย์ที่หริหราลัย
กลุ่มศิวลึงค์ที่สลักใต้นํ้า
หลังจากนั้นมาอีก 300 ปี จึงได้มีการสร้างปราสาทนครวัดและปราสาทอื่นๆ ขึ้น สำหรับน้ำใสจากบ่อน้ำผุดที่ศักดิ์สิทธิ์นั้นไหลลงมารวมเป็นลำธารขนาดใหญ่ผ่านหินลงสู่เบื้องล่างตามระดับลดชั้นเป็นน้ำตกส่งน้ำสู่พื้นที่ราบ ดังนั้นลานหินที่น้ำใสไหลผ่านนั้นจึงมีการแกะสลักศิวลึงค์อยู่ใต้น้ำ เรียงรายไปตลอดเส้นทางนับได้กว่าพันองค์ แม้จะเป็นศิวลึงค์แบบตื้นตั้งอยู่บนฐานโยนีที่เป็นสัญลักษณ์ในการสร้างชีวิตสร้างโลกของพระศิวะกับพระแม่อุมาเทวี ซึ่งมีหลายขนาดแตกต่างกันทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ที่สุดนั้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งเมตร สามารถชมได้ชัดเจนในหน้าแล้งที่มีน้ำน้อย
ศิวลึงค์ขนาดใหญ่กลางสายธารสวรรค์
การแกะสลักศิวลึงค์และอื่นๆ บนลานหินกว้างนี้ทำขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 (ค.ศ.790-835) เมื่อแกะสลักเสร็จแล้วจึงได้จัดการผันให้ทางน้ำนั้นไหลผ่านรูปสลักศิวลึงค์นับพันเหล่านี้ จนสามารถสร้างคติความเชื่อให้เป็นธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ นอกจากศิวลึงค์นับพันองค์แล้วยังมีรูปแกะสลักพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ ขึ้นอีกหลายแห่งบนก้อนหินที่มีหน้าตัดหน้าเอียงบนลานหินนั้น โดยให้อยู่ทั้งริมตลิ่ง และจมใต้น้ำ ทำให้น้ำในธารนั้นเหมือนน้ำอมฤตจากเกษียรสมุทรไหลลงจากมเหนทรบรรพตหรือเขาไกรลาสนั่นแล หากตามลำธารนี้ไปก็เป็นน้ำตกและสุดทางที่ทะเลสาบ-โตนเลสาบที่อยู่ด้านล่าง ระหว่างทางนั้นมีวัดพระองค์ธม ซึ่งมีพระนอนแกะสลักจากหินส่วนยอดของหินก้อนใหญ่ หน้าตาใกล้เคียงศิลปทวาราวดี จากการเป็นธารน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้จึงมีการอัญเชิญน้ำจากที่นี่ไปใช้ในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาและบรมราชาภิเษกกษัตริย์ขอมมาแต่โบราณ ทำให้พนมกุเลนจึงเป็นนิมิตรูปของเขาพระสุเมรุราชที่มี 109 ยอด ส่วนยอดสูงสุดคือยอดเขาไกรลาสนั้นเป็นที่สถิตของพระศิวะ และพระนางอุมาเทวีดังนั้นพนมกุเลนจึงเป็นภูมิสัญลักษณ์ของเขาหิมาลัยที่มีธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ไหลลงมาจากธารสวรรค์นั่นเอง
ธารจากนํ้าตกที่ไหลลงสู่เบื้องล่าง
ทิวเขาพนมกุเลนสถานที่ศักดิสิทธิ์
ลานศิวลึงค์นั้นมีหลายขนาด
รูปสลักนารายณ์บรรทมสินธ์ุ
แหล่งนํ้าผุดบนเขาดุจทะเลนํ้านม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี