สาวเก่งแห่งวงการรถหรู
‘สุรีย์ภรณ์ อุดมผลวณิช’
อนาคตของ TSL อยู่ในมือเธอ
แม้จะเป็นลูกสาวประธานบริษัท ก็ใช่ว่าจะมานั่งเก้าอี้บริหารได้อย่างสบายอารมณ์ ทั้งอายุยังน้อย ไม่มีประสบการณ์และความรู้ทางธุรกิจมากนัก แต่ เจย์-สุรีย์ภรณ์ อุดมผลวณิช ก็ได้พิสูจน์ความสามารถของตนเอง จากตำแหน่ง ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ใช้เวลาเพียงไม่นานเธอก็ทำให้ บริษัท ที เอส แอล ออโต้ คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด มายืนแถวหน้าในตลาดรถยนต์พรีเมียมสุดหรู จนได้รับการยอมรับจากทุกคนและทำให้ สุรสิทธิ์ อุดมผลวณิช ประธานกรรมการบริษัทและเป็นทั้งคุณพ่อ ยอมวางอนาคตของ TSL ไว้ในมือลูกสาวให้บริหารอย่างเต็มตัวในตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อย่างเต็มตัวมานานกว่า 5 ปีแล้ว
สาวเก่งแห่งวงการรถหรู บอกว่า เมื่อจบปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปีพ.ศ.2548 ด้วยวัยเพียง 21 ปี ตอนนั้นก็อยากจะไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ แต่เมื่อมหาวิทยาลัยและสาขาที่เลือกต้องมีประสบการณ์การทำงานอย่างน้อย 2 ปี จึงจะเข้าศึกษาต่อได้ เจย์ จึงตัดสินใจเข้ามาทำงานที่ธุรกิจของครอบครัว โดยเริ่มจากตำแหน่ง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด
“ถึงจะเป็นลูกเจ้าของ จะมานั่งเก้าอี้สำคัญของบริษัท ก็ใช่ว่าจะทำงานสบาย เพราะเจย์เป็นเด็ก ลูกน้องบางคนประสบการณ์มีมากกว่า จบรัฐศาสตร์ความรู้เรื่องธุรกิจก็ไม่มี การที่เราจะได้รับการยอมรับคือ เราต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น ทุ่มเท เรียนรู้ และ TSL ในตอนนั้นเพิ่งเปิดตัวเป็นบริษัทที่ต่อยอดมาจากธุรกิจดั้งเดิมคือ ขายรถเบนซ์ในชื่อ เบนซ์ แจ้งวัฒนะและอู่ซ่อม ตอนนั้นไม่มีใครรู้จัก TSL โจทย์ของเจย์คือจะทำอย่างไรให้ TSL เป็นหนึ่งในตัวเลือกของผู้บริโภคเมื่อเขาคิดจะซื้อรถ และบังเอิญมันเป็นช่วงจังหวะที่เจ้าอื่นๆ ที่เป็นยักษ์ใหญ่ เขาไม่มีการทำตลาดอย่างจริงจัง เจย์จึงใช้ช่องโหว่ตรงนั้นทำการตลาดแบบเต็มรูปแบบ ให้ TSL เป็นที่จดจำโดยมีจุดแข็งคือ เราขายรถหรูแต่มีบริการหลังการขายที่แน่นมากเพราะเราโตจากอู่ซ่อมรถมาก่อน โฆษณาทุกตัวบิลบอร์ดขนาดใหญ่ โลโก้วางที่เดิมตรงจุดเดิม ฟร้อนท์ตัวอักษรไม่เคยเปลี่ยน จนผู้บริโภคจดจำได้ และเราก็ประสบความสำเร็จในจุดนั้น”
จากความสำเร็จในการนำ TSL เข้าสู่ตลาดและเป็นที่ยอมรับของคนรักหรู สาวเก่งคนนี้ จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารอย่างเต็มตัวในปี 2551 ซึ่งผลงานของเธอทำให้กลายเป็น ผู้บริหารหญิงรถหรูที่อายุน้อยที่สุดในวงการนี้ โดยกลยุทธ์ความสำเร็จส่วนสำคัญที่เธอใช้ในการบริหารงาน บริหารคน เจย์ บอกว่า การจะเป็นนายคนที่ดีต้องมีทั้ง “พระเดช” และ “พระคุณ”
“เวลาเจย์ทำงานเจย์ ไม่ใช่สักแต่สั่งงานลูกน้อง แต่งานที่จะสั่งให้เขาทำ เจย์จะต้องมีความรู้จริงในงานนั้นๆ ก่อน เพราะเมื่องานเกิดปัญหาหรือลูกน้องต้องการคำปรึกษาแนะนำ เราต้องตอบคำถามเขาได้ และเป็นการสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้น เพราะเจย์เชื่อว่าความศรัทธาในใครสักคน มันเกิดจากความนิยมชมชอบหรือความเชื่อถือในสิ่งที่คนนั้นมี และสำหรับเจย์สิ่งนั้นคือ ความศรัทธาในความสามารถ เมื่อเราสั่งงานเขาก็จะเชื่อและทำงานได้ตามที่เราสั่ง และสองระหว่างเจย์กับลูกน้องไม่ได้มีแต่เรื่องงาน แต่เจย์จะพยายามดูแลเขาในทุกๆ เรื่องตามสมควรที่เราจะทำได้ โดยเฉพาะเรื่องครอบครัว ความสุข ความทุกข์ของลูกน้องเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้เกิดขึ้นในวันสองวัน แต่ใช้เวลาซึมซับจนวันหนึ่งเขารู้สึกได้ว่าเราเป็นนายที่สามารถดูแลเขาได้”
เมื่อแรกตั้งใจทำงานเพื่อเป็นประสบการณ์ในการนำไปเรียนต่อปริญญาโท แต่ถึงวันนี้ เจย์ ก็ยังไม่ได้เรียนปริญญาโทอย่างที่ตั้งใจ ซึ่งเธอบอกว่าใบปริญญานั้นไม่สำคัญอีกต่อไป
“เจย์ใช้วิธีเราขาดอะไร ก็เติมด้วยการลงคอร์สสั้นๆ เป็นเรื่องๆ ไป เรื่องไฟแนนซ์ บัญชี การบริหาร เจย์มีประกาศนียบัตรจากลงคอร์สต่างๆ เยอะมาก อีกอย่างคือเจย์เป็นคนชอบหนังสืออยู่แล้ว หลักๆ ที่อ่านอยู่ก็จะมีหนังสือเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ บริหารคน หนังสืออัตชีวประวัติ แนวคิดของคนที่ประสบความสำเร็จ แล้วก็แนวปรัชญา กฎหมาย เวลาที่อ่านหนังสือเจย์จะเป็นคนที่จำเพียงแค่คีย์เวิร์ดเดียวของหนังสือเล่มนั้น อ่านแล้วจะนำไปปรับใช้กับตัวเอง ส่วนการที่เราเรียนรัฐศาสตร์มาคนอื่นอาจจะมองว่ามันไม่ได้เอื้อกับธุรกิจ แต่สำหรับเจย์มองว่าการเรียนปริญญามันให้พื้นฐานความคิดที่ดี สอนให้เราคิดอย่างมีระบบ แต่ในการทำงานประสบการณ์จะเป็นตัวสอนเรามากกว่า และส่วนที่คุณพ่อสอนท่านไม่ได้สอนอะไรที่เป็นรูปธรรมมากนัก แต่สิ่งที่ท่านเน้นย้ำในการทำธุรกิจและการบริหารคือ เราจะต้องเป็นคนดี ซื่อสัตย์กับลูกค้าและดูแลลูกน้องให้ดี”
ในการมานั่งตำแหน่งบริหารระดับสูงในวัย 31 ปี คนภายนอกอาจจะมองว่าเธอเป็นผู้หญิงเก่งที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แต่สำหรับเจย์แล้วเธอบอกว่า ตราบใดที่ยังทำธุรกิจความสำเร็จไม่ได้มีแค่จุดๆ เดียว
“เจย์ไม่แน่ใจว่าอะไรคือ บทสรุปของคำว่า ความสำเร็จ และเจย์ก็ไม่เคยนิยามคำคำนั้น แต่เจย์มองว่าในแต่ละปีที่เราทำงานหรือแต่ละโครงการที่ทำเราสามารถบริหารงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ หรือเราสามารถแก้ไขปัญหาที่มีได้ลุล่วงหรือเปล่า ถ้าทำได้ ก็เรียกว่าสำเร็จ แต่สำหรับการทำธุรกิจ มันไม่มีความสำเร็จที่สิ้นสุด นอกเสียจากเราจะหยุดทำงานหรือไม่มีเป้าหมายอะไรแล้ว แล้วมองว่าผลงานที่ผ่านมาคือความสำเร็จ”
อีกหนึ่งกุญแจการทำงานอย่างมีความสุข เจย์ บอกว่า นอกเหนือจากเรื่องงาน ความสุขคือการได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว กับเพื่อน และกิจกรรมโปรดอย่างการอ่านหนังสือ เพราะเธอเชื่อว่า ความรักจากครอบครัวและคนรอบข้าง แปรเปลี่ยนเป็นพลังใจให้เธอสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่างานนั้นจะหนักและเหนื่อยสักแค่ไหนก็ตาม
❛...สำหรับการทำธุรกิจ มันไม่มีความสำเร็จที่สิ้นสุด นอกเสียจากเราจะหยุดทำงานหรือไม่มีเป้าหมายอะไรแล้ว แล้วมองว่าผลงานที่ผ่านมาคือความสำเร็จ...❛
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี