ชุมชนมอญในอำเภอสังขละบุรี
ด้วยแนวรบด้านตะวันตกทางเมืองกาญจนบุรีนั้นเป็นเส้นทางสำคัญที่เป็นเส้นทางเข้า-ออกของข้าศึก ดังนั้นพื้นที่แห่งนี้จึงถูกยกขึ้นเป็นด่านสำคัญในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ อาทิตย์นี้ขอย้อนรอยไปที่เมืองสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ด้วยเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญที่ตั้งอยู่ตรงช่องทางหรือประตูระหว่างแดนที่ติดต่อระหว่างสยามกับพม่า พื้นที่นี้มีลักษณะเป็นช่องเขาของเทือกเขาตะนาวศรีหรือช่องด่านเจดีย์สามองค์ ซึ่งในประวัติศาสตร์นั้นได้ถูกใช้เป็นเส้นทางเดินทัพและเป็นเส้นทางอพยพของชนกลุ่มชาติต่างๆ ทั้งมอญและกะเหรี่ยง ฯลฯ ด้วยในสมัยอยุธยานั้น พม่ามีอำนาจมากในบริเวณลุ่มน้ำอิระวดีและแม่น้ำสาละวิน จึงรุกรานมอญ กะเหรี่ยง จนต้องอพยพเข้าสู่ดินแดนไทยทางด้านด่านพระเจดีย์สามองค์
ในพระราชพงศาวดารกรุงเก่าได้กล่าวว่า ในเขตกาญจนบุรีนั้นมีเมืองหน้าด่านอยู่ 8 เมือง คือเมืองสิงห์ เมืองลุ่มสุ่ม เมืองท่าตะกั่ว เมืองไทรโยค (เมืองกาญจนบุรีเก่า) เมืองทองผาภูมิ เมืองท่าขนุน (สังขละบุรี) เมืองท่ากระดานและเมืองศรีสวัสดิ์ ทำหน้าที่สู้รบกับข้าศึกที่ผ่านเข้ามา ซึ่งบริเวณเมืองท่าขนุนหรือสังขละบุรีในปัจจุบันนั้น มีพื้นที่ระหว่างเขาเป็นสนามรบขนาดใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อ สามประสบ ด้วยมีร่องน้ำ 3สาย คือ ห้วยซองกะเลีย ห้วยบิคลี่ และห้วยรันตีไหลมาบรรจบลงจากเขามารวมกันเป็นแอ่งใหญ่ซึ่งปัจจุบันนั้นน้ำได้ท่วมไปเกือบหมดจากการสร้างเขื่อนเขาแหลม แม่ทัพคนสำคัญในแถบนี้ คือ กรมพระราชวังบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท (บุญมา) และพระองค์เจ้าขุนเณร
ตลาดอำเภอสังขละบุรี
เมืองสังขละบุรีหรือท่าขนุนเดิมนั้นจึงมีพื้นที่มากกว่าเมืองอื่น คือ มีพื้นที่ประมาณ 3,350 ตารางกิโลเมตร หรือ 2 ล้านไร่ และปัจจุบันเป็นพื้นที่ติดต่อกับเขตแดนพม่าได้เป็นแนวยาวอยู่ 4 เมือง คือ อำเภอเมือง อำเภอทองผาภูมิ อำเภอไทรโยค และอำเภอสังขละบุรี ซึ่งมีแนวชายแดนติดกับพม่ายาวถึง 170 กิโลมตรตั้งแต่สมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้น เมืองด่านทั้ง 8 เมือง ของกาญจนบุรี ได้มีความสำคัญในการป้องกันการรุกรานจากพม่า จนอังกฤษเข้ายึดครองพม่า สงครามไทยกับพม่าจึงได้ยุติลง ต่อมาพ.ศ.2369 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงยกให้สังขละ ขึ้นเป็นเมืองตั้งผู้นำกะเหรี่ยงนั้นเป็นเจ้าเมือง พระราชทานนามว่า“พระศรีสุวรรณคีรี” มีทายาทสืบทอดการป้องกันเขตแดน ส่วนเมืองด่านอื่นๆ นั้นก็มีผู้นำเช่นเดียวกัน
เมืองด่านชายแดนแห่งนี้ ถูกล้อมด้วยธรรมชาติและขุนเขาใหญ่น้อย มีแม่น้ำซองกาเลีย ไหลจากต้นกำเนิดในประเทศพม่า ไหลผ่าน อำเภอสังขละบุรีจึงเป็นแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้สองฟากฝั่งแม่น้ำ และเชื่อมสัมพันธ์ได้มีชนชาติิมอญทั้งสองประเทศตั้งบ้านเรือน มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แม่น้ำซองกาเลียจึงเป็นชื่อเรียก จากภาษามอญแปลเป็นไทยว่า “ฝั่งโน้น” แม่น้ำซองกาเลียแบ่งแผ่นดินอำเภอสังขละบุรีออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งคือตัวอำเภอซึ่งรวมสถานที่ราชการและสถานที่พัก แม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่ตกค้างมาแต่อยุธยาก็ตาม อีกฝั่งหนึ่งนั้นเป็นหมู่บ้านมอญทั้งที่เข้ามาตั้งรกรากตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์นานนับร้อยปีและเพิ่งอพยพเข้ามาใหม่ จึงทำให้สังขละบุรีเป็นเมืองที่มีวิถีของตนตามวัฒนธรรมแห่งเผ่าพันธุ์ ซึ่งมีทั้งมอญ กะเหรี่ยง ไทย ลาว พม่า โดยมี “สะพานไม้อุตตมานุสรณ์” หรือ “สะพานมอญ” เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศ มีความยาวประมาณ 1 กม. สร้างโดยหลวงพ่ออุตตมะ เพื่อให้คนไทย กะเหรี่ยง และมอญนั้นได้สัญจร ไปมาหาสู่กันได้สะดวก เป็นการสร้างความสัมพันธ์ของคนทั้งสามกลุ่มให้มีวิถีของตนอย่างมั่นคง ปัจจุบันสะพานแห่งนี้ได้กลายเป็นจุดดึงความสนใจท่องเที่ยวเพื่อชมแสงสีทองของพระอาทิตย์ในยามเช้าและการตักบาตรพระในตลาดมอญริมสะพาน หมู่บ้านมอญนั้น อพยพมาจากอำเภอเย จังหวัดเมาะละแหม่งใน รัฐมอญ ประเทศพม่าตั้งแต่ปี พ.ศ.2494 ส่วนใหญ่ ทำอาชีพเกษตรกรรม และทำประมงชายฝั่ง พูดภาษามอญ แต่งกายแบบชาวมอญ โดยเฉพาะการเทินสิ่งของไว้บนศีรษะอย่างชำนิชำนาญและใช้แป้งทานาคา เครื่องสำอางจากภูมิปัญญาท้องถิ่นทาใบหน้าอันเป็นวิถีมอญที่น่าสนใจและเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งจนลืมความสำคัญในแนวรบเมื่ออดีตไป
หมู่บ้านมอญในเมืองสังขละบุรี
พระพุทธรัตนสังขละศรีสุวรรณ (พระแก้ว) ร.3 พระราชทานแก่พระศรีสุวรรณ เจ้าเมือง
เด็กมอญกับการแต่งกายที่ไม่เปลี่ยนแปลง
อนุสาวรีย์กรมพระราชวังบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
เด็กมอญทาหน้าด้วยทานาคาตามผู้ใหญ่
สาวมอญที่ยังรักษาประเพณีตามบรรพบุรุษ
หมู่บ้านมอญในเมืองสังขละบุรี
โบราณสถานเมืองกาญจนบุรีเก่า
ป้อมที่สร้างขึ้นป้องกันข้าศึก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี