วิกฤติสังคม ‘ผู้ต้องขังหญิงล้นคุก’
ชี้จะดีขึ้นได้เมื่อให้ความรู้ที่ถูกต้องและแท้จริง
เนื่องจากความเข้มงวดของนโยบายกระบวนการยุติธรรมทางอาญาทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยเช่นกัน ทำให้ผู้หญิงตกเป็นผู้ต้องหาและต้องโทษในคดีอาญาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก จึงก่อให้เกิดปัญหา “ผู้ต้องขังหญิงล้นคุก” ซึ่งทางกระทรวงยุติธรรม ได้จัดสัมมนาหัวข้อ “จากวาทกรรมยาเสพติดสู่การผลิตซ้ำ...สื่อมวลชนกับทางออกปัญหาคนล้นคุก” พร้อมนำสื่อมวลชนลงพื้นที่เรือนจำกลางอุดรธานี เพื่อศึกษาดูงาน สถานการณ์ และแนวทางแก้ปัญหานักโทษล้นคุก เมื่อเร็วๆ นี้ที่จังหวัดอุดรธานี
ปัจจุบันผู้หญิงที่ตกเป็นผู้ต้องหา และต้องโทษในคดีอาญาเพิ่มสูงขึ้นกว่าในอดีตเป็นจำนวนมาก ซึ่งความผิดที่ผู้หญิงเหล่านี้ถูกกล่าวหาหรือต้องโทษส่วนใหญ่เป็นความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการแพร่ระบาดของยาเสพติด ซึ่งมีปริมาณมากกว่าร้อยละ 80 และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเรือนจำมีนักโทษจากคดียาเสพติดทั่วประเทศ จำนวน 329,169 คนแยกเป็นผู้ต้องขังชายจำนวน 281,465 คนและผู้ต้องขังหญิงจำนวน 47,704 คน เป็นผู้ต้องขังคดี พ.ร.บ.ยาเสพติด จำนวน 111,479 คน แต่ปัจจุบันเรือนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศจำนวน 140 แห่งมีความจุที่จะรองรับนักโทษได้เพียง 9 หมื่นคนแต่ด้วยจำนวนนักโทษมีจำนวนที่มากขึ้นจึงทำให้ล้นคุก
ศ.(พิเศษ) จรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
จากสถานการณ์ที่นักโทษล้นคุก ทำให้นักโทษหญิงต้องใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำที่มีสภาพแวดล้อม และสภาพชีวิตที่แปรเปลี่ยนไปจากเดิม อีกทั้งยังต้องขาดอิสรภาพที่ถูกจำกัดลงไปอีกด้วย เมื่อต้องถูกคุมขังในบริบทของสภาพเรือนจำแล้ว กลับพบว่ามีปัญหาตามมากมาย เนื่องจากสภาพเรือนจำมีการออกแบบไว้สำหรับการคุมขังผู้กระทำความผิดที่ใช้ความรุนแรง และเป็นภัยต่อสังคมในลักษณะของอาชญากร ซึ่งส่วนใหญ่คือเพศชาย และในบางรายที่ถูกคุมขังเป็นเวลานานๆ คุณภาพชีวิตก็จะตกต่ำลงมากเนื่องจากพื้นที่ภายในห้องขังแออัดมาก
ศ.(พิเศษ) จรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เผยว่า ขนาดและสภาพปัญหาของเรื่องนี้ไม่เคยลดลงเลย มีแต่ขยายมากขึ้น แม้แต่การใช้มาตรการ และวิธีการปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาด ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แต่ถ้าแก้ปัญหาได้ก็เป็นเพียงชั่วขณะเท่านั้น พอเหตุการณ์กลับคืนสู่ปกติ ปัญหากลับกลายเป็นมากขึ้นกว่าเดิมจำนวนผู้ที่ติดยาในปัจจุบันเท่าที่สำรวจในปี 2557 ประมาณ 1.8 ล้านคน และคาดว่าจำนวนจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคนอย่างแน่นอน ซึ่งใน 2 ล้านคนนี้ เป็นกำลังซื้อขนาดมหึมา เป็นตลาดที่บังคับผู้ซื้อให้ต้องซื้อ
บรรยากาศภายในเรือนจำกลางอุดรธานี
สำหรับคดียาเสพติดที่มาสู่ศาล ในปี 2556 มีจำนวน 327,061 คดี จำนวนผู้ต้องขังคดียาเสพติดทั่วประเทศมากกว่า 300,000 คน เป็นผู้หญิงมากกว่า 40,000 คนส่วนระยะเวลาต้องขังโดยเฉลี่ยของผู้ต้องขังยาเสพติด ทั้งชายและหญิง ประมาณ 2 ปี หมายความว่าคนส่วนใหญ่จะต้องขังในระยะเวลาสั้น คนส่วนน้อยต้องขังในระยะเวลายาว ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่เข้าไปอยู่ในเรือนจำในคดียาเสพติด เป็นผู้ขน ผู้ค้ารายย่อย และรวมไปถึงผู้เสพ ผู้ติด ผู้ป่วย ผู้เป็นเหยื่อขององค์กรค้ายาเสพติด มีจำนวนมากกว่า 70% ซึ่งตัวเลขนี้สามารถบอกว่า เกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญาสายการปราบปรามยาเสพติด
ทั้งนี้ ระบบบำบัดฟื้นฟูของเรามีปัญหามาก ทั้งๆ ที่กฎหมายเปิดช่องไว้ค่อนข้างกว้าง แต่เวลาบังคับใช้จริงๆ มีปัญหาว่าเจ้าหน้าที่ไม่นำเข้าสู่ระบบบำบัดฟื้นฟู ดังนั้น พวกที่ติดยา คนป่วย ผู้ค้ารายย่อย ไม่ได้ถูกนำเข้าระบบบำบัดฟื้นฟู ทำให้จำนวนผู้ต้องขังเพิ่มขึ้นอีกมากมาย เพราะเจ้าหน้าที่บิดผันเข้าสู่คดีอาญา กลายเป็นอาชญากร เป็นผู้ต้องขังมากยิ่งกว่าปลากระป๋อง ฉะนั้นถึงเวลาที่เราต้องช่วยกัน ให้เกิดกระแสการเมืองให้พลิกผันนโยบายช่วยแก้ไขกฎหมาย รวมทั้งการบังคับใช้ และการตีความกฎหมายที่ห่างไกลจากชีวิตจริงของผู้คนมาก และการนำเอาผู้ต้องขังมาขังคุกเป็นการฝึกวิชาโจรในเรือนจำจากการรวมกลุ่มดาวร้ายในเรือนจำ จากคนที่เคยเป็นผู้ค้ารายย่อย เมื่อพ้นเรือนจำออกมาก็จะขยับฐานะเป็นผู้ค้ารายใหญ่ จากผู้ค้าเดี่ยว ก็จะกลายเป็นเครือข่าย คนที่จะเข้ามาอยู่ในคุกคือคนที่อยู่ใกล้ยาเสพติดเท่านั้น และนี่คือการปราบปรามยาเสพติดเพียงด้านเดียว ซึ่งเป็นการสร้างปัญหาไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาให้กับสังคมเลย
“สำหรับสาเหตุใหญ่ๆ ของสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น ต้องโทษองค์ความรู้ โทษความไม่รู้ โทษอวิชชาของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เขารู้ไม่จริง และรู้ไม่ครบ รู้แค่ปัญหาด้านเดียว ก็จะใช้นโยบายปราบปรามเด็ดขาด จึงเหมือนเป็นการหว่านแหทำให้ได้แค่ปลาเล็กปลาน้อย แล้วนำเข้ามาในเรือนจำ แต่จับรายใหญ่ไม่ได้ จึงเป็นการเพิ่มผู้ต้องขังเป็นผู้ค้ารายใหญ่ในเรือนจำต่อไป ส่วนรายย่อยก็ยังคงไม่หมด จับแล้ว จับอีก ก็เกิดรายย่อยขึ้นมาเรื่อยๆ ด้วยอำนาจเงินจากรายใหญ่นั่นเอง ประกอบกับสังคมธนบัตรนิยมของเรา
เมื่อนโยบายระดับการเมืองมองปัญหาแค่ด้านเดียว และจะสร้างผลงานแบบฉับพลันทันที กฎหมายปราบปรามยาเสพติดของเราก็จะแข็งไปด้านเดียว จึงทำให้เกิดการย่อหย่อนในการแก้ไขปัญหาและป้องกัน ซึ่ง 90% ที่เราเห็นเป็นแค่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ นโยบายบำบัดรักษามีแต่คำพูด กฎหมายมีไว้ให้เป็นกระดาษที่เปื้อนหมึก ละเลยการแก้ปัญหาที่สาเหตุ
แนวทางการแก้ไข ก่อนที่จะแก้อย่างอื่น อยากจะให้แก้ปัญหาที่องค์ความรู้นำความรู้ และข้อมูลที่ถูกต้องแท้จริงเผยแพร่ให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้อง และกว้างที่สุด เมื่อประชาชนมีความรู้ครบจะเป็นการบังคับผู้มีอำนาจทางการเมืองให้ต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนเจ้าหน้าที่ที่ฉ้อฉล ค้ายาเอง ขนยาเอง ต้องปราบปรามอย่างจริงจังเยี่ยงอาชญากร สมควรถูกประหาร ส่วนเจ้าหน้าที่กลั่นแกล้งยัดเยียดข้อหาให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ หรือบิดเบือนในการบำบัดรักษา ว่าเป็นผู้ค้ารายใหญ่ ต้องรีบขจัดให้หมดไป เพราะถือเป็นความชั่วร้ายยิ่งกว่าผู้ค้ายาเสพติด ในส่วนผู้ค้ายา เสพยา ในจำนวนเล็กน้อยควรบำบัดฟื้นฟูอย่างมีประสิทธิภาพ ให้กลับเป็นคนดีในสังคมให้ได้” ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวในที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี