Innbruck เมืองหลวงของแคว้น Tyrol ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของออสเตรียนี้เป็นอีกเมืองหนึ่งที่คนไทยนิยมไปเที่ยวโดยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดคือ หลังคาทอง และที่นี่ยังเป็นสวรรค์ของนักช็อปคริสตัลเพราะจะได้มีโอกาสไปร้านสวารอฟสกี้ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป เมืองที่อยู่ห่างจากเวียนนาทางรถไฟ 4 ชั่วโมง และลินซ์ 3 ชั่วโมงนี้ ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบเล่นสกีด้วย เพราะที่นี่เป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวถึง 2 ครั้งในปี 1964 และ 1976 และเพิ่งเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวสำหรับเด็กครั้งแรกในปี 2012 ด้วย
เมืองที่แปลว่าสะพานข้ามแม่น้ำอินน์นี้มีประวัติย้อนไปถึงยุคหินโดยตกเป็นของโรมในคริสต์ศตวรรษที่ 4 และกลายเป็นของ Counts of Tyrol ในปี 1248 เมือง Innsbruck ได้กลายเป็นเมืองหลวงของแคว้น Tyrol ในปี 1429 และกลายเป็นศูนย์กลางทางการเมืองของยุโรปตอนกลางในสมัยจักรพรรดิ Maximillian I ในทศวรรษที่ 1490 ที่นี่จึงมีวังที่เรียกว่า Hofburg และโบสถ์ที่เรียกว่า Hofkirche ยิ่งกว่านั้นพระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ยังให้ความสำคัญกับเมืองนี้ด้วยการอนุญาตให้ฝังพระศพพระองค์ไว้ที่เมืองนี้ด้วย
ส่วนหลังคาทองอันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกนี้ก็ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระจักรพรรดิ Maximillian I เช่นกัน อาคารที่มีหลังคาทองนี้ถูกสร้างขึ้นโดยคำบัญชาของ Archduke Friedrich IV เพื่อให้เป็นที่ประทับของผู้ครองแคว้น Tyrol พระจักรพรรดิ Maximillian I ได้ทรงมีรับสั่งให้สร้างระเบียงไว้ ณ ตำแหน่งนั้นเพื่อให้พระองค์และ Bianca Maria Sforza พระราชินีเสด็จออกพบปะประชาชนเนื่องในโอกาสฉลองพระราชพิธีอภิเษกสมรส Nikolaus Turing the Elder จึงได้ตกแต่งหลังคาด้วยกระเบื้องทองแดงที่ลงรักปิดทองจำนวน 2,738 แผ่น ปัจจุบันอาคารที่มีหลังคาทองที่สะท้อนแสงแดดระยิบระยับเห็นแต่ไกลนับร้อยเมตรนี้เป็นสำนักงานของ The International Alpine Convention ที่ทำหน้าที่พัฒนาประเทศยุโรปรอบเขาแอลป์ 8 ประเทศ และเป็นมิวเซียม The Maximilianum ด้วย
นอกจากหลังคาทองแล้ว นักท่องเที่ยวที่มีเวลา และไม่ได้อยากเล่นสกี ก็อาจเยี่ยมชม Hofburg พระราชวังของพระเจ้า Maximillian I ได้ พระราชวังแห่งนี้เริ่มสร้างครั้งแรกในปี 1453 โดย Duke Sigmund der Munzreiche ที่นี่ถูกขยายให้ใหญ่โตในสมัยพระเจ้า Maximillian I จนกลายเป็นอาคารที่สวยที่สุดในยุค Late Gothic ในปี 1520 ที่นี่ก็ถูกขยายให้ใหญ่โตขึ้นไปอีกโดยสร้างสวนเพิ่มขึ้นถึง 3 แห่ง และสร้างอาคารต่อเติมเพิ่มขึ้นอีกคือส่วนของ Large and Small Courtyard และ Kitchen หลังจากนั้นอีกแค่สิบกว่าปี ที่นี่ก็ถูกเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกให้มีสถาปัตยกรรมแบบ Renaissance
ในปี 1577 พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่สองก็มีพระบัญชาให้สร้างหอสวดมนต์ขึ้นภายในวังเพื่อไว้ฝังพระศพของพระองค์และพระราชินี เมื่อแคว้น Tyrol ถูกพระราชวงศ์ Habsburg ยึดอำนาจ วังแห่งนี้ก็กลายเป็นที่ประทับของราชวงศ์ Habsburg เมื่อเวลามาท่องเที่ยว วังแห่งนี้ถูกปรับปรุงครั้งใหญ่ให้มีสถาปัตยกรรมแบบบาโรคอีกครั้งในสมัยพระนางมาเรีย เทเรซ่าในปี 1754 เป็นที่น่าเสียดายที่สมบัติจำนวนมากในพระราชวังถูกยึดไปสมัยที่ออสเตรียแพ้สงครามให้กับนโปเลียน และไม่ได้กลับคืนมายังวังนี้อีกเลย แม้เมืองนี้จะกลับมาเป็นสมบัติของออสเตรียในภายหลังก็ตาม ส่วนวังก็กลายเป็นมิวเซียมตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งแล้ว นักท่องเที่ยวที่ได้มาเยี่ยมชมวังแห่งนี้จะพบว่า ที่นี่มีสมบัติไม่มาก แต่ก็มีความสวยงามสมกับเคยเป็นพระราชวังดีที่สุดแห่งหนึ่งของออสเตรีย
นักท่องเที่ยวที่ได้มีโอกาสมาเยี่ยมชมเมืองนี้ในวัน April Fool day ซึ่งเป็นวันหลังวันอีสเตอร์จะพบว่า เมืองนี้ครึกครื้นมาก เสียอย่างเดียวร้านรวงเปิดน้อย และอากาศค่อนข้างเย็นจัดสังเกตได้จากเก้าอี้นั่งตามร้านกาแฟยังมีผ้าขนสัตว์หุ้มอยู่ไม่เช่นนั้นลูกค้าไม่สามารถนั่งได้ แต่นักท่องเที่ยวก็จะได้บรรยากาศคล้ายคริสต์มาสเพราะมีร้านขายของเหมือนงานออกร้านกลางจัตุรัสกลางเมืองซึ่งเป็นบรรยากาศที่ไม่เห็นในวันทั่วไปซึ่งก็สนุกไปอีกแบบหนึ่ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี