ลุศุภวารเฉลิม 60 พระชนมพรรษา ขัตติยราชกุมารี
องค์อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2498 (ตรงกับวันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 5 ปีมะแม สัปตศก) ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ทรงเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระองค์ที่ 3 ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้รับการถวายพระนามจากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์” พร้อมทั้งประทานคำแปลว่านางแก้ว อันหมายถึง หญิงผู้ประเสริฐ และมีพระนามที่ข้าราชบริพาร เรียกทั่วไปว่า “ทูลกระหม่อมน้อย”
พระนาม “สิรินธร” มาจากสร้อยพระนามของสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ซึ่งเป็นสมเด็จพระราชปิตุจฉา (ป้า) ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช สร้อยพระนาม “กิติวัฒนาดุลโสภาคย์” ประกอบขึ้นจากพระนามาภิไธยของสมเด็จพระบรมราชบุพการี 3 พระองค์ ได้แก่ “กิติ” มาจากพระนามาภิไธยของ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” สมเด็จพระราชชนนี (แม่) ส่วน “วัฒนา” มาจากพระนามาภิไธยของ “สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า” (สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี) สมเด็จพระปัยยิกา (ย่าทวด) และ “อดุล” มาจากพระนามาภิไธยของ “สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก” สมเด็จพระอัยกา (ปู่)
การศึกษา
พระองค์ทรงเริ่มการศึกษาระดับอนุบาล และจบการศึกษาที่โรงเรียนจิตรลดา ทรงเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์แรกที่เข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในประเทศโดยทรงสอบเข้าศึกษาต่อคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้คะแนนสอบเอนทรานซ์
เป็นลำดับที่ 4 ของประเทศ ทรงสำเร็จการศึกษาได้รับพระราชทานปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เหรียญทอง ด้วยคะแนนเฉลี่ย 3.98 เมื่อปี พ.ศ. 2520 และทรงศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ด้านจารึกภาษาตะวันออก (ภาษาสันสกฤต และภาษาเขมร) คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้รับพระราชทานปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2522 และสาขาภาษาบาลีและสันสกฤต จากภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทรงได้รับพระราชทานปริญญาอักษรศาสตร์มหาบัณฑิต จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2524 จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาเอก คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สภามหาวิทยาลัยอนุมัติให้ทรงสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอก เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2529
พระอิสริยยศ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดำริว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ ทรงได้รับความสำเร็จในการศึกษาอย่างงดงาม และทรงบำเพ็ญพระองค์ให้เป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองเป็นอเนกอนันต์คุณูปการ พร้อมกับได้โดยเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในภูมิภาคต่างๆ อยู่เสมอ อาทิ
ด้านการพัฒนาบ้านเมือง เสด็จพระราชดำเนินทรงศึกษาและช่วยเหลือกิจการโครงการตามพระราชดำริทุกโครงการ พร้อมทรงรับพระบรมราโชบายมาทรงดำเนินการสนองพระเดชพระคุณในด้านต่างๆ นับเป็นการดูแลสอดส่องพระราชกรณียกิจส่วนหนึ่งต่างพระเนตรพระกรรณ
ด้านการพระศาสนา มีพระหฤทัยมั่นคงในพระรัตนตรัยและสนพระหฤทัยศึกษาหาความรู้ด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นอย่างแตกฉาน และ ด้านราชการในพระองค์ ได้สนองพระเดชพระคุณในพระราชภารกิจที่ทรงมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ ทรงกอปรด้วยพระจรรยามารยาท พระจริยวัตร เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติแห่งขัตติยราชกุมารีทุกประการ ทรงเป็นที่รักใคร่ นับถือ ยกย่องสรรเสริญพระเกียรติคุณทั้งในประเทศและต่างประเทศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยยศและพระอิสริยศักดิ์ให้สูงขึ้น ให้ทรงรับพระราชบัญชาและสัปตปฎลเศวตฉัตร (เศวตฉัตร 7 ชั้น) พร้อมทั้งเฉลิมพระนามตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี” เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2520 เป็นราชกุมารีพระองค์แรกพระองค์เดียวแห่งราชวงศ์จักรี
ต่อมาเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2520 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจคุณูปการ แก่ประเทศชาติและความผาสุกของอาณาประชาราษฎร์ทั่วทุกพื้นที่ ทรงเป็นผู้ซึ่งเหมาะสม และทรงเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย จึงทรงมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศแต่งตั้ง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ดำรงตำแหน่ง “อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย” เพื่อประกอบพระราชกรณียกิจต่างๆ พระราชทานแก่ประชาชนผู้ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาสในทุกๆ ด้าน ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสังคมอย่างเป็นปกติสุข ตามหลักการและภารกิจหลักของสภากาชาดไทยมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง ดังนี้
ด้านการบริการทางการแพทย์และสุขภาพอนามัย
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสนพระราชหฤทัยในการบริการทางการแพทย์และการพยาบาลแก่ผู้เจ็บป่วยที่เพิ่มมากขึ้น การสร้างอาคารรักษาพยาบาลใหม่ ทั้งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ตลอดจนเทคโนโลยีใหม่ๆ ดังเช่น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินยังห้องผ่าตัด 17 ตึกสิรินธร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย เมื่อวันที่ 12 กันยายน พศ. 2554 ทอดพระเนตรการทำงานของหุ่นยนต์ผ่าตัด (Robotic Surgery) เครื่องแรกในประเทศไทย ระบบการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์เป็นเทคโนโลยีที่ดีที่สุด โดยมีการมองเห็นภาพเป็นแบบความละเอียดสูงในลักษณะ 3 มิติ และมีกำลังขยายสูงถึง 10 เท่า ทำให้การผ่าตัดมีความแม่นยำมากขึ้น ความบาดเจ็บและความบอบช้ำจากแผลผ่าตัดมีน้อยลง นับเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ให้ความหวังและชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นแก่ผู้ป่วย
ด้านการบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัย
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงให้ความสำคัญในการพระราชทานความช่วยเหลือราษฎรที่เดือดร้อน ทรงเยี่ยมพสกนิกรชาวไทยในถิ่นทุรกันดารอยู่เสมอ ตลอดจนทรงช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภัยหนาว ภัยแล้ง อัคคีภัย วาตภัย และอุทกภัย ดังเช่น เหตุการณ์อุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด รวมทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ทรงเยี่ยมและพระราชทานขวัญกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่สำนักงานบรรเทาทุกข์ฯ และอาสาสมัครที่มาช่วยงานบรรเทาทุกข์ ทรงเยี่ยมครัวเคลื่อนที่สภากาชาดไทย พร้อมกับพระราชทานคำแนะนำเรื่องการทำอาหารควรเป็นอาหารแห้ง และสามารถอยู่ได้นานไม่บูดง่าย การบรรจุชุดธารน้ำใจฯ และหน่วยรถผลิตน้ำดื่ม ทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด
ด้านการบริการโลหิต
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ นำความปีติสุขไปพระราชทานเป็นขวัญและกำลังใจแก่ผู้อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อยู่เสมอ นับเป็นการสร้างแรงบันดาลใจและแรงศรัทธาให้ประชาชนสนับสนุนกิจการของสภากาชาดไทยอย่างไม่ขาดสาย ดังเช่น การเสด็จฯ พระราชทานประกาศเกียรติคุณ เหรียญกาชาด และเข็มที่ระลึกแก่ผู้บริจาคโลหิต ผู้ทำคุณประโยชน์แก่สภากาชาดไทยของเหล่ากาชาดจังหวัดในภาคต่างๆ พร้อมกับมีพระราชดำรัส ขอบคุณผู้บริจาคโลหิตทุกคน ความตอนหนึ่งว่า
“ขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่ได้ร่วมบริจาคโลหิต เพื่อเป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ประสบปัญหาเจ็บป่วย ขณะนี้มีผู้ที่เจ็บป่วยและต้องการใช้โลหิต เพื่อรักษาทั้งสุขภาพ และรักษาชีวิตไว้ เป็นจำนวนมาก แล้วในประเทศไทยถือว่ามีลักษณะพิเศษ ที่มีผู้ที่มีจิตเมตตา จิตศรัทธาที่ช่วยเหลือผู้ยากไร้ หรือผู้ที่ประสบเคราะห์กรรมนี้เป็นจำนวนมาก และขออนุโมทนาในบุญที่ทำนี้ และเป็นการทำบุญร่วมกัน ก็หวังว่าจะทำให้ประเทศไทย ได้เจริญก้าวหน้าร่มเย็นเป็นสุขสืบต่อไป และขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่ร่วมมือกันจัดให้มีการบริจาคโลหิต และจัดงานวันนี้ให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย และทุกๆ ท่านที่บริจาคเงินเพื่อกิจการการกุศลต่างๆ จะนำเงินที่ท่านบริจาคนี้ไปใช้ให้คุ้มค่า และเพื่อตามเจตนาที่ตั้งไว้ ในโอกาสที่ท่านทำบุญนี้ ก็ขอให้ผลบุญช่วยบันดาลให้ท่านสุขกาย สบายใจ และประสบสิ่งที่พึงปรารถนาทุกๆ อย่าง” (พระราชดำรัสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในพิธีพระราชทานเหรียญกาชาดสมนาคุณ ชั้นที่ 1 ประกาศเกียรติคุณ และเข็มที่ระลึกแก่ผู้บริจาคโลหิตครบ 36 ครั้ง และ 108 ครั้ง ประจำปี 2551-2552 ของเหล่ากาชาดจังหวัดภาค 11 และภาค 12 วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553)
ด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิต
มูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย เป็นโครงการในพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก่อตั้งเมื่อปีพ.ศ. 2524 ด้วยทรงห่วงใยเด็กกำพร้าที่มารดาคลอดแล้วทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา โดยมูลนิธิฯ จะรับอุปการะเลี้ยงดูและหาครอบครัวที่เหมาะสมเพื่อให้เด็กได้รับความรัก ความอบอุ่น และมีอนาคตที่ดีต่อไป ภาพที่ชินตาของเราคือ การเสด็จฯ ทรงเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการมูลนิธิฯ ณ ตึกวชิราลงกรณอย่างสม่ำเสมอ คราใดเมื่อพระองค์เสด็จฯ ทรงเยี่ยมมูลนิธิฯ จะประทับกับพื้นให้ความเอ็นดูและห่วงใยเด็กกำพร้าที่ทรงชุบเลี้ยงไว้โดยทรงอุ้มและกอดบรรดาเด็กๆ ที่เข้ามาจับฉลองพระองค์ บ้างก็จับพระหัตถ์ด้วยความไร้เดียงสา โดยไม่ทรงถือพระองค์เลย ด้วยทรงเข้าพระทัยดีว่า เด็กเหล่านี้ต้องการความรัก ความอบอุ่น และความเข้าใจ ซึ่งพระองค์ได้พระราชทานด้วยความยินดียิ่ง ดังจะได้ทราบจากข้อความในการประกอบพระราชกรณียกิจของสภากาชาดไทย ความตอนหนึ่งว่า
“...กล่าวโดยส่วนรวมแล้ว จึงเห็นได้ว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นองค์อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ที่ทรงงานหนักและทรงงานจริงพระองค์หนึ่งใช่แต่จะเพียงรับตำแหน่งตามพระเกียรติยศเท่านั้นก็หาไม่ ตรงกันข้ามทรงพระราชอุตสาหะปฏิบัติบรรหารกิจการของสภากาชาดไทยให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี สมกับความที่ทรงได้รับไว้วางพระราชหฤทัย คราใดที่สภากาชาดไทยมีปัญหา มีอุปสรรค ก็ทรงขจัดปัดเป่าความขัดข้องนั้น โดยพระบารมีแก่กล้า ทรงพระเมตตาสอดส่องกิจการของสภาทุกกอง ทุกแผนก...” (จากหนังสือข้าแต่สมเด็จอุปนายิกา หน้า 98)
“...ความจริงข้อหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้สำหรับโลกทุกวันนี้ คือชีวิตมนุษย์ในปัจจุบันนับวันก็จะต้องมีการแก่งแย่งแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันมากยิ่งขึ้น กิจการของสภากาชาดซึ่งมีหลักการในทางตรงกันข้าม คือมุ่งมั่นที่จะทำให้คนเห็นแก่ตัวน้อยลง ก็ยิ่งต้องอยู่ในฐานะที่ยากลำบากขึ้นโดยลำดับ แต่เดชะบุญที่กิจการสภากาชาดของไทยกลับมีความเจริญรุ่งเรื่องขึ้นได้ไม่เสื่อมสูญ ก็ด้วยความเมตตาอนุกูลจากพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า กับทั้งอาศัยพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมในสมเด็จพระนวมินทราธิราชบรมราชวงศ์ ทุกพระองค์เป็นเครื่องอุดหนุนสำคัญ...” (จากหนังสือข้าแต่สมเด็จอุปนายิกา หน้า 196)
จากพระราชกรณียกิจดังที่ได้กล่าวมาแล้วนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเล็กๆ ในหลายร้อยหลายพันโครงการ และพระราชกรณียกิจที่ได้ทรงปฏิบัติอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย แต่กลับทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์ เพื่อประโยชน์สุขแห่งมวลมนุษยชาติ ตามหลักการกาชาดทั้ง 7 ประการคือ มนุษยธรรม ความไม่ลำเอียง ความเป็นกลาง ความเป็นอิสระ บริการอาสาสมัคร ความเป็นเอกภาพ และความเป็นสากล
ในโอกาสมหามงคลทรงเจริญพระชนมายุครบ 5 รอบ วันที่ 2 เมษายน 2558 ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสำราญ ธ สถิตเป็นมิ่งขวัญ แก่ปวงข้าพระพุทธเจ้า เจ้าหน้าที่สภากาชาดไทย ผู้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท เพื่อสืบสนองพระราชปณิธานให้สภากาชาดไทยอยู่คู่ปวงชนชาวไทยตลอดชั่วกาลนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม
(นางสาวอังคณา วงศ์จริต ข้อมูล / เรียบเรียงผู้ช่วยศาสตราจารย์ภาวิดา พุทธิขันธ์ ประสานงาน /เรียบเรียงขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากสมุดบันทึกและปฏิทินสภากาชาดไทย ประจำปี 2558)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี