ตำแหน่ง Executive Chef ในโรงแรมใหญ่ๆ ของเมืองไทย มักจะเป็นเชฟชาวต่างชาติและเป็นผู้ชายส่วนใหญ่ แต่เชื่อว่าวันนี้บรรดานักชิมไม่มีใครไม่รู้จักชื่อ เชฟปู-ปูริดา ธีระพงษ์ เชฟหญิงไทยเพียงไม่กี่คนที่สามารถขึ้นมายืนอยู่ในตำแหน่งสูงสุดแห่งวงการอาหาร ที่มีรสมือการันตีด้วยประสบการณ์ รางวัลต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะตำแหน่ง เชฟกระทะเหล็กผู้หญิงคนแรกของรายการแข่งขันทำอาหารเชฟกระทะเหล็ก ประเทศไทย (Chef Iron Thailand) เมื่อปี 2012 ผลงานอาหารไทยกับโจทย์ดอกไม้
ที่ทำให้ชื่อของเชฟปูเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ
เชฟปู-ปูริดา ธีระพงษ์ ปัจจุบันนั่งเก้าอี้Executive Chef โรงแรมเดอะเบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ (The Berkeley Hotel Pratunam) โรงแรมใหม่ย่านแหล่งช็อปปิ้งกลางเมือง เล่าให้ฟังถึงเส้นทางการมาเป็นเชฟว่า ย้อนไปกว่า 20 ปีก่อน เธอก็ไม่ต่างจากบัณฑิตปริญญาจบใหม่ใช้ชีวิตมนุษย์เงินเดือน แต่ก็ยังมีบางสิ่งบางอย่างกระตุ้นเตือนอยู่เสมอว่านี่ยังไม่ใช่เส้นทางของเธอ แม้ว่างานที่ทำอยู่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีก็ตาม จึงทำให้เธอขบคิดอยู่เสมอว่าอะไรคือสิ่งที่เธอรักและอยากจะทำมากที่สุด เธอจึงค้นพบว่าตัวเองไม่ได้เป็นเพียงแค่นักชิมที่นิยมลิ้มรสเมนูอร่อยๆ เท่านั้น ชิมแล้วยังนำกลับมาคิดต่อว่าแต่ละจานกว่าจะออกมามีหน้าตาและรสชาติเช่นนั้นต้องทำอย่างไร ผ่านกระบวนการอะไรมาบ้าง และจะทำอย่างไรจึงจะได้เช่นนั้น เมื่อสงสัยจึงลงมือทำและเป็นคำตอบว่า การปรุงอาหาร คือช่วงเวลาที่มีความสุข
“ไปเรียนทำอาหารที่ออสเตรเลีย จบแล้วก็ต่อด้วยด้านการบริหารโรงแรม ข้อดีของการอยู่ออสเตรเลียคือ เขาเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เป็นที่รวมของคนหลายเชื้อชาติ ทำให้เชฟได้เรียนรู้อาหารแทบจะทุกชาติในโลกที่ประเทศออสเตรเลีย ในการทำงานก็ไต่เต้าจากลูกมือ ขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ จนได้รับการยอมรับว่าเราเป็นเชฟจริงๆ ผ่านทั้งการเป็นเชฟโรงแรม เชฟร้านอาหาร งานด้านบริการจัดเลี้ยง”
อาหารไทย คือประเภทอาหารที่สร้างชื่อให้กับเชฟสาวคนนี้ ด้วยเอกลักษณ์แห่งรสชาติ “อาหารไทยต้องเป็นอาหารไทย” ต้องครบรสเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เพราะนี่คือเสน่ห์ที่ทำให้อาหารไทยเป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติ และในการปรุงอาหาร เชฟปู บอกว่า “ความรักและใส่ใจ” คือสิ่งที่ทำให้ปรุงอาหารออกอร่อย
“ใส่ใจของเชฟคือ คุณต้องรู้ว่าคุณกำลังปรุงเมนูอะไร ต้ม ผัด แกง ทอด แล้วเมนูนั้นต้องใช้วัตถุดิบ เครื่องปรุงอะไรบ้าง ซึ่งเราคัดสรรวัตถุดิบที่ดีมาปรุงขั้นต่อมาวิธีการปรุง ต้องรู้ว่าใส่อะไรก่อนหลัง ใช้อุณหภูมิที่เหมาะกับเมนูนั้นๆ เพราะการทำอาหารเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ต้องเรียนรู้และใส่ใจ มีความรักในสิ่งที่เราทำ อาหารมันก็อร่อย คนที่ทานเขาจะรับรู้ได้ เขาก็จะมีความสุขจากการกินอาหารที่เราปรุง เราก็มีความสุขที่เห็นลูกค้ามีความสุข ไม่ใช่สักแต่ว่ามีอะไรๆ ก็ใส่ๆ เข้าไป ถ้าทำอย่างนั้นต่อให้มีเคล็ดลับสูตรเด็ดมากแค่ไหนแต่ไม่ใส่ใจอาหารก็ไม่อร่อย”
ดูเหมือนว่าเส้นทางของการเป็นเชฟในประเทศออสเตรเลียกำลังรุ่งโรจน์ เชฟปูเป็นหนึ่งในผู้สร้างทีมงาน Westpac Conference and Catering สำนักงานใหญ่ที่ซิดนีย์ ซึ่งเป็นองค์กรด้านการบริหารจัดงานประชุมและจัดเลี้ยงที่ใหญ่ที่สุดที่รองรับการจัดเลี้ยงได้กว่า 5,000 คน รวมถึงการเปิดร้านอาหารไทยของตัวเองในชื่อ spice lover ด้วยเอกลักษณ์อาหารไทยที่เป็นรสชาติไทยแท้จนประสบความสำเร็จ แต่ในที่สุดเชฟปูก็เลือกที่จะกลับประเทศไทย
“อยู่ออสเตรเลีย 12 ปี จนได้สัญชาติแล้วด้วย ตอนแรกกลับเมืองไทย เพราะอยากพักผ่อน อยากกลับมาเที่ยวบ้านเท่านั้น แต่บังเอิญว่ามีคนชวนมาทำงานที่ภูเก็ต ก็เห็นว่าน่าสนใจ อีกส่วนก็คิดว่าเชฟผู้หญิงเมืองไทยยังน้อยมากมันเป็นอะไรที่ท้าทายและส่วนตัวเองก็อยากจะนำประสบการณ์ความรู้ที่มีมาเผยแพร่ในเมืองไทยด้วย ก็เลยตัดสินใจกลับมาทำงานที่เมืองไทย”
เชฟปู เริ่มงานที่เมืองไทยด้วยการเข้าร่วมงานกับโรงแรมในเครือเรดิสันที่ภูเก็ต ในตำแหน่ง ExecutiveSous Chef เพียงปีเดียวก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Executive Chef อยู่ 2 ปี จากนั้นจึงมารับตำแหน่ง Executive Chef เพื่อเปิดโรงแรมแบรนด์ใหม่ของแอคคอร์ (M Gallery) ที่โรงแรมโฮเทล มิวส์ และสามารถสร้างชื่อให้กับห้องอาหารสุธารส ของโฮเทล มิวส์ อีก 2 ปี และล่าสุดคือตำแหน่ง Executive Chef ของโรงแรมเดอะเบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ (The BerkeleyHotel Pratunam) โรงแรมใหม่ย่านแหล่งช็อปปิ้งกลางเมืองที่มีห้องพักกว่า 800 ห้อง พร้อมด้วยห้องอาหารและบาร์อีก 5 แห่ง และห้องประชุม/จัดเลี้ยงที่รองรับแขกได้กว่า 2,000 คน พร้อมกับเปิดร้านอาหารที่มีชื่อว่า The Mulberry Multi-Cuisine Restaurant ซึ่งเป็นร้านอาหารคอนเซ็ปต์แนวใหม่ที่รวบรวมอาหาร 4 สัญชาติยอดนิยมทั้ง ไทย จีน ญี่ปุ่น และอิตาเลียน มารวมไว้ในห้องเดียว
“ที่เดอะ เบอร์เคลีย์ เป็นโรงแรมแห่งที่สามที่เชฟเองได้มีโอกาสเข้ามาดูตั้งแต่เริ่มต้นเซตทีม มันเป็นความท้าทายและเป็นข้อดีไปพร้อมๆ กันในการที่เราได้ปลุกปั้นด้วยมือของเรา หน้าที่ของเชฟต้องวางแนวทางให้ทีมสามารถทำงานต่อได้ ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างกำลังใจให้ทีม จะทำอย่างไรให้เขาทำงานได้อย่างมีความสุขมีความภาคภูมิใจในงานที่ทำ เชฟจะย้ำกับทีมงานเสมอว่า การทำอาหารไม่ใช่สักแต่ทำเพราะหน้าที่ แต่ต้องคิดว่านี่คืออาชีพ ถ้าเราไม่ใส่ใจในอาชีพที่ทำ เราจะไม่วันโตในสายอาชีพ ทำไมต้องพูดแบบนี้ เพราะความสำเร็จไม่ได้เกิดจากเชฟคนเดียว แต่เราต้องทำงานเป็นทีม
ส่วนตัวเชฟเองในการทำงาน เชฟไม่ได้มองว่าเราจะได้อะไรจากองค์กร เราเองก็ต้องคิดว่าเราจะให้อะไรกับองค์กรด้วย เพราะกว่ามายืนจุดนี้ได้ เชฟไม่ได้จับสลากเราผ่านบททดสอบมาเยอะทั้งการทำอาหาร การบริหาร เราต้องแสดงให้เขาเห็นว่าเรามีคุณสมบัติเพียงพอมีความสามารถที่จะรับตำแหน่งนี้ได้”
สุดท้าย เชฟปู ยังฝากถึงน้องๆ รุ่นใหม่ที่สนใจอยากก้าวเข้าสู่อาชีพนี้ว่า กว่าจะมาเป็นเชฟที่ดีที่ได้รับการยอมรับได้ ต้องใช้ทั้งความรู้และประสบการณ์ ต้องมีความรักในสายอาชีพนี้เป็นพื้นฐาน มีความมุ่งมั่นอดทน ใฝ่รู้ และพัฒนาตนเองตลอดเวลา อย่ามองเพียงเพราะผลประโยชน์หรือรายได้ ถ้ามีทั้งหมดที่ว่ามาซึ่งไม่ใช่แค่อาชีพเชฟแต่รวมถึงทุกๆ อาชีพด้วย ถ้ายึดหลักตามนี้ย่อมประสบความสำเร็จในอาชีพของตัวเองอย่างแน่นอน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี