พระพิฆเนศวรสมัยต่างๆ
หลังจากสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์และตั้งเสาหลักเมืองเมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325 แล้วต่อมา 3 ปี เทวสถานหรือโบสถ์พราหมณ์ จึงได้สถาปนาขึ้น ณ เลขที่ 268 ถนนบ้านดินสอ แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยอยู่ใกล้กับวัดมหาสุทธาวาสคือวัดสุทัศน์เทพวรารามในปัจจุบันโดยมีพราหมณ์ผู้ทำพระราชพิธีและพิธีสืบสายตระกูลมาก่อนแล้วตั้งแต่ครั้งอยุธยาและกรุงธนบุรี ปัจจุบันมีพระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ (ชวินรังสิพราหมณกุล) เป็นหัวหน้าพราหมณ์ ด้วยเหตุที่เป็นโบราณสถานศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างเพื่อเป็นศรีสวัสดิ์คู่พระนครของกรุงรัตนโกสินทร์ สำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และหน่วยงานทุกภาคส่วนทั้งราชการและประชาชน จึงได้ร่วมกันทำการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ เมื่อพ.ศ.2555 จนทำให้เทวสถานสำหรับพระนครหรือโบสถ์พราหมณ์แห่งนี้มีความสง่างามสมกับการเป็นเทวสถานของพระผู้เป็นเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ของพราหมณ์ตามอย่างพระราชวังหลวงในกรุงศรีอยุธยา
ประวัติการสถาปนานั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ผู้เป็นพระปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี ผู้มีปฐมพระราชปณิธานไว้แต่แรกว่า “ตั้งใจจะอุปถัมภกยอยกพระพุทธศาสนา จะปกป้องขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนและมนตรี” พระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเทวสถานขึ้น เมื่อ พ.ศ.2327 เพื่อความผาสุกร่มเย็นแห่งสมณชีพราหมณ์แลอาณาจักรอย่างขนบธรรมเนียมโบราณ โดยได้สร้างโบสถ์ทั้งหมด 3 หลังเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนชั้นเดียว มีกำแพงล้อมรอบคราวนั้นโปรดเกล้าฯให้อัญเชิญพระศรีศากยมุนีจากวิหารหลวงเมืองสุโขทัยมาประดิษฐานในวิหารของวัดมหาสุทธาวาสหรือวัดสุทัศน์เทพวราราม และอัญเชิญเทวรูปในศาสนาพราหมณ์จากวัดพระพายหลวง ศาลตาผาแดง และเทวาลัยมหาเกษตร ที่เป็นเทพเจ้าที่เคารพของเมืองสุโขทัยมาประดิษฐานที่โบสถ์สามหลังนี้ พร้อมกับด้านนอกระหว่างวัดมหาสุทธารามและเทวสถานนั้นได้สร้างเสาชิงช้า สำหรับพิธีกรรมของพราหมณ์ที่เกี่ยวพันกับวัดดังกล่าว ภายหลังพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ได้โปรดเกล้าฯให้เขียนรูปพระผู้เป็นเจ้าของพราหมณ์ว้าที่บานประตูและหน้าต่างพระวิหารหลวงนั้นและเปลี่ยนชื่อวัดมหาสุทธาวาสเป็นวัดสุทัศน์เทพวราราม
พระอิศวร ศิลปะสุโขทัย
เทวสถานสำหรับพระนครแห่งนี้เมื่อเดินเข้ามาจากประตูทางเข้า มีเทวาลัยขนาดเล็ก ประดิษฐานพระพรหม พระผู้สร้าง ตั้งอยู่กลางบ่อนํ้า สร้างขึ้นเมื่อ พุทธศักราช 2515 ภายในเทวสถานนั้นประกอบด้วยโบสถ์อยู่สามหลัง คือ สถานพระอิศวร เป็นโบสถ์ใหญ่ อยู่ด้านหลังเทวาลัยพระพรหม ประดิษฐานพระรูปพระอิศวรสำริดประทับยืนสูง 1.87 เมตร ปางประทานพรยกพระหัตถ์สองข้าง ศิลปะสมัยสุโขทัย สถานพระพิฆเนศวรเป็นโบสถ์หลังกลาง ประดิษฐานพระมหาวิฆเนศวรสำริดขนาดใหญ่ ประทับนั่งขัดสมาธิ ศิลปะอยุธยาตอนกลางและประดิษฐานพระพิฆเนศวรสมัยต่างๆ อีกหลายองค์ และ สถานพระนารายณ์ เป็นโบสถ์หลังริมประดิษฐานพระรูปพระนารายณ์สำริด ประทับยืนสูง 1.51 เมตร ศิลปะสุโขทัย พร้อมด้วยพระรูปพระลักษมีและพระรูปพระมเหศวรี ซึ่งทำด้วยไม้หุ้มรักประทับยืน ซึ่งจำลองของพระรูปของเดิมที่เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
ภายหลังเทวสถานได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ ประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 66 ตอนที่ 64 วันที่ 2 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2492 หน้าที่ 5281 ลำดับที่ 11 ประกาศ ณ วันที่18 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2492
พระมหาวิฆเนศวรสำริด ศิลปะอยุธยา
นอกจากนี้ เทวสถานยังได้สร้าง หอเวทวิทยาคมโดยจัดเป็นห้องสมุดเฉพาะกิจ และรวบรวมสรรพวิทยาการด้านประเพณีและพิธีกรรมแห่งหนึ่งในประเทศไทย เปิดให้ประชาชนเข้าไปค้นคว้าเพื่อศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นับเป็นแหล่งความรู้ที่เป็นภูมิของพระผู้เป็นเจ้าของพราหมณ์แห่งสยามประเทศ
เทวสถานและเสาชิงช้าในอดีต
พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ (ชวิน)
เสาชิงช้าสมัยแรกตั้งพระนคร
สถานพระนารายณ์
สถานพระอิศวรหน้าปั้น พระอิศวร พระอุมาและวัวนนทิ
พระลักษมี และพระมเหศวรี
เทวสถานพระนครบูรณะครั้งใหญ่ 2555
ภาพวาดสภาพของเทวสถานในยุคแรก
เอกสารการบูรณะเทวสถาน
พราหมณ์ผู้สืบทอดพระราชพิธีโบราณ
พระนารายณ์สำริดสมัยสุโขทัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี