การได้ดำดิ่งลงสู่โลกใต้ท้องทะเลสีคราม เพื่อสัมผัสมหัศจรรย์ความงามที่หาดูไม่ได้บนบก กลายเป็นสิ่งที่ใครหลายคนทั้งหลงใหล และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนก่อให้เกิดกิจกรรมหลายๆ อย่างที่ตอบสนองเอาใจคนรักดำน้ำ งาน TDEX : Thailand Dive Expo งานมหกรรมธุรกิจท่องเที่ยวดำน้ำแห่งประเทศไทย ที่จัดโดย เอ็น.ซี.ซี.เอ็กซิบิชั่นออกาไนเซอร์ ก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งไม่แต่เพียงที่จะได้ช็อปสินค้าและบริการต่างๆ เกี่ยวกับการดำน้ำอย่างครบครันแล้ว ในงานนี้ทำให้เราได้พบกับตัวจริงที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “กูรูดำน้ำ” ระดับประเทศที่ชื่อ แน่งน้อย ยศสุนทร หรือที่คนในวงการดำน้ำเรียกว่า “พี่น้อย” อีกด้วย
เธอคนนี้ไม่เพียงแต่หลงใหลการดำน้ำ จนกระทั่งผันตัวจากนักการธนาคาร มาเป็นครูสอนดำน้ำ และมากไปกว่านั้นเธอยังทุ่มเทให้กับงานอนุรักษ์โลกใต้ทะเลอย่างจริงจังคนหนึ่งของประเทศไทย ที่วันนี้เธอจึงขอใช้พื้นที่ บี มาย เกสท์ ส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับนักดำน้ำรุ่นใหม่ในการช่วยกันดูแลรักษาท้องทะเลไทย
“สำหรับพี่น้อย ตอนเด็กๆ ทุกปิดเทอมจะได้ไปเที่ยวทะเล ได้ดำ Snorkeling ดูปะการังที่ผิวน้ำ ทำให้ชอบทะเลมาตั้งแต่เด็ก จนอายุประมาณ 20 ปี คุณพ่อซื้อเรือและอุปกรณ์ดำน้ำแบบสคูบ้าให้ ก็ได้ลองลงดำน้ำตื้นๆ แบบไม่ถูกวิธี เพราะในสมัยนั้นการดำน้ำในเมืองไทยยังไม่แพร่หลายนัก จึงไม่มีใครสอน จนกระทั่งหลังจากแต่งงานกับพี่จ๋อม (สมยศ ยศสุนทร) ในปี 2529 จึงได้ไปเรียนดำน้ำอย่างจริงจัง ทำให้หลงรักการดำน้ำแบบถอนตัวไม่ขึ้น อีก 7 ปีต่อมา จึงได้ลาออกจากงานด้านการธนาคารมาเป็นครูสอนดำน้ำ เปิดห้องรับแขกและสระว่ายน้ำที่บ้าน ในหมู่บ้านยศสุนทร สุขุมวิท 20 เป็นสถานที่เรียนสำหรับผู้สนใจการดำน้ำ”
แน่งน้อย บอกว่า การดำน้ำมีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ การดำน้ำตื้นแบบ Snorkeling คือการสวมหน้ากากดำน้ำ คาบท่อหายใจ แล้วว่ายอยู่บนผิวน้ำ แบบที่สองคือ Skin dive เป็นการดำน้ำตัวเปล่า โดยสวมหน้ากากดำน้ำแล้วกลั้นหายใจดำลงไปลึกอย่างน้อย 3 เมตร และสุดท้ายคือ การดำแบบ SCUBA ซึ่งคือ “นักดำน้ำ” ในความหมายของคนทั่วไป คือการสวมหน้ากากดำน้ำ ติดถังออกซิเจน ใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจใต้น้ำ ดำลงไปยังใต้ทะเลลึก
“การดำน้ำ เป็นกีฬาประเภทหนึ่ง แต่มีความพิเศษตรงที่นอกจากได้ประโยชน์จากการฝึกฝนออกกำลังกายแล้ว การดำน้ำเป็นการท่องเที่ยวที่เราจะได้มีโอกาสสัมผัสกับความงดงามใต้ท้องทะเล ดังนั้น การดำน้ำจึงต้องมีการศึกษาอย่างจริงจัง ทั้งเพื่อความปลอดภัย และเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของการดำน้ำที่แท้จริง การดำน้ำทั้ง 3 ประเภท จะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก แล้วความสนุกก็จะตามมา จะต้องมีคนสอนให้ถูกวิธี ต้องอึด ต้องฝึก ร่างกายต้องแข็งแรง ไม่เช่นนั้นก็จะอันตราย ที่สำคัญคือต้องเรียนรู้อย่างถูกต้อง อย่างดำสคูบ้า (SCUBA) คนที่เริ่มเรียนไม่ควรดำเกิน 60 ฟุต ถึงเรียนขั้นสูงขึ้นหรือจนเป็นมืออาชีพก็ไม่ควรเกิน 130 ฟุต อยู่ดี ถ้าจะดำลึกกว่านั้นจะต้องใช้เครื่องมือแบบอื่นมาช่วยเสริม การดำน้ำจะมีกฎเคร่งครัดว่าต้องปฏิบัติตัวตามขั้นตอนอย่างไรบ้าง ต้องรู้จริง บางคนอัตตาสูงก็ทำให้ประมาท ลงไปลึกเกินก็เกิดอันตรายได้ สติ กับการปฏิบัติตามกฎที่ได้เรียนรู้มาเป็นสิ่งสำคัญในการดำน้ำ ประมาทไม่ได้เลย”
ความมหัศจรรย์ของท้องทะเลไทยนั้น เป็นที่ยอมรับของนักดำน้ำทั่วโลก เรามีอาณาเขตทางทะเลกว้างใหญ่ไพศาล และเป็นแหล่งปะการังที่สวยงาม ซึ่งสะท้อนให้เห็นความอุดมสมบูรณ์ได้เป็นอย่างดี นักดำน้ำที่ดี จะต้องเข้าใจในธรรมชาติของท้องทะเล ดำน้ำอย่างไรที่จะไม่ทำร้ายความงดงามเหล่านั้น นี่เองจึงเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้พี่น้อยหันมาสนใจดำน้ำเพื่อการอนุรักษ์
“ตอนที่พี่เพิ่งเรียนดำน้ำจบใหม่ๆ ทางเจ้าของรีสอร์ทมาบอกครูพี่ว่า มีอวนติดอยู่แถวหน้าผาตรงเกาะง่ามน้อย ให้ช่วยดำลงไปเอาออกได้ไหม ก็ไปช่วยกันทำกับครู เราก็เห็นว่ามันไม่ไหวเลย อวนผืนมหึมาคลุมหน้าผาไว้หมด แล้วปลาที่เข้าไปติดอวนก็ตาย ปลาข้างในก็พยายามจะหนีออกมา มันเป็นภาพที่เศร้าใจมาก หลังจากนั้นก็จะฝังใจว่า มันไม่ดีต่อท้องทะเล เพราะฉะนั้นเวลาดำน้ำเองก็จะคอยเก็บอวน เศษอะไรต่ออะไรเองตลอด พี่จะพกมีดไว้ตลอดเวลา เพื่อจะใช้ตัดอวนไม่ได้ไปสู้กับฉลามนะคะ จนช่วงปี 2545 มีข่าวฉลามวาฬโดนตัดครีบไปขายเป็นหูฉลาม ก็เกิดการรวมกลุ่มเพื่อขอให้ทางการคุ้มครองฉลามวาฬในประเทศไทย ซึ่งก็ทำสำเร็จในที่สุด เหตุการณ์นี้ทำให้รู้ว่า ยังมีกลุ่มคนที่รักษ์ทะเลอยู่มากมายและพร้อมลุกขึ้นมาทำอะไรหลายอย่างช่วยกัน ต้นปี 2546 พี่กับสามีก็เป็นตัวตั้งตัวตี www.saveoursea.net หรือSOS นำทีมจิตอาสาผู้มีหัวใจเดียวกันทำงานอนุรักษ์ท้องทะเลจนถึงทุกวันนี้
กิจกรรมที่ทางกลุ่มทำมีทั้งระดมคนไปช่วยกันรักษาทะเล ทำงานเก็บขยะ ตัดอวน ตัดสายเบ็ด ถ้าเจอปะการังล้มก็จะช่วยกันตั้งขึ้น ฉลามโดนเบ็ดเกี่ยวก็ช่วยกันเอาออก ปล่อยสัตว์น้ำ ขึ้นบกมาก็ปลูกป่าชายเลน โดยคนที่มาทำงานก็เป็นนักดำน้ำ เขามีเงิน มีเวลาที่จะช่วยกัน จะไปกันเกือบทุกเดือนเวียนไปตามแหล่งต่างๆ จนเป็นเหมือนประเพณี เราจะใช้วิธีแชร์กันออกเงินเหลือเข้ากองกลางเพื่อเอาไปทำค่ายเยาวชน เราพยายามไม่รับสปอนเซอร์ เพราะเชื่อว่าถ้าทุกคนลงแรง ลงขัน ลงใจไปแล้ว มันจะมีความรู้สึกหวงแหนว่าทะเลเป็นของเรา จิตสำนึกจะดี เราช่วยดูแล เราให้เพราะเรารักเขา”
แน่งน้อย บอกถึงประโยชน์ที่ได้จากการดำน้ำว่า นอกจากความงดงามและความเพลิดเพลินที่เราจะได้รับแล้ว การดำน้ำยังช่วยจรรโลงอารมณ์ของเราได้เป็นอย่างดี ฝึกฝนการใช้สมาธิ ทำให้มีสติ คนที่ใจร้อนมา ถ้าได้มาดำน้ำจะสงบมากขึ้น
“แหล่งดำน้ำบ้านเรามีอยู่เยอะมาก ดำได้ทั้งน้ำตื้นน้ำลึก พี่แนะนำว่า ถ้าเป็นอันดามันเหนือ ที่น่าสนใจจะเป็นสิมิลันกับสุคิริน หินใต้น้ำที่ ริเชลิว ส่วนอันดามันใต้ที่สวยมากๆ จะเป็นหินม่วงหินแดง เกาะห้าใหญ่ เกาะตารัง ในทะเลอ่าวไทย ที่ชอบคือ โลซิน จะเป็นกองหินโสโครกแถวปัตตานี เป็นปะการังแข็งที่สวยงามและสมบูรณ์ที่สุดในอ่าวไทย มีฉลามวาฬราหู กระเบนนก สัตว์ในฝันที่นักดำน้ำอยากเห็นก็จะได้เห็นที่นี่ เกาะเต่าก็เริ่มกลับมาสวยเพราะมีกลุ่มอนุรักษ์ที่เข้มแข็ง ส่วนชุมพร เป็นจุดดำน้ำลึกที่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด ก็จะเดินทางไปได้ง่าย ที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นแหล่งดำน้ำที่ไหน นักดำน้ำทุกคนจะต้องใส่ใจในการเป็นนักดำน้ำที่ดี เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลอยตัวใต้น้ำอย่างถูกต้องไม่ทิ้งเท้าหนักไปจนไปเตะหรือทับปะการังให้เสียหาย ไม่จับสัตว์น้ำขึ้นมาดู หรือเคลื่อนย้ายเพื่อจะถ่ายรูป ไม่ขับถ่ายทิ้งของเสียลงในทะเล”
ท้ายที่สุด กูรูดำน้ำ มีคำแนะนำสำหรับผู้สนใจการดำน้ำมาฝากด้วยว่า จะต้องมีความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ ศึกษาการดำน้ำทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติจากโรงเรียนสอนดำน้ำที่ได้มาตรฐานอย่างน้อย 18 ชั่วโมง หรือจนกว่าจะสอบผ่านตามหลักสูตรการดำน้ำขั้นต้น และยามที่ดำดิ่งสู่โลกใต้ท้องทะเลก็ควรจะปฏิบัติตนให้เป็นนักดำน้ำที่ดี หากพบเห็นความผิดปกติของแหล่งดำน้ำ สามารถแจ้งเบาะแสมาได้ที่ www.saveoursea.net เพื่อช่วยกันดูแลให้เป็นสมบัติของเราทุกคนอย่างยั่งยืนต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี