นายแพทย์พีระพงษ์ ภาวสุทธิไพศิฐ
ไม่เพียงแต่เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ที่มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในสถานการณ์ความไม่สงบของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ นราธิวาส ยะลา ปัตตานี แล้ว ยังมีบุคลากรอีกอาชีพหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กันนั่นคือ “บุคลากรทางการแพทย์”ผู้ทำหน้าที่ดูแลปัญหาสุขภาพของพี่น้องในพื้นที่ทั้งยามปกติและเหตุการณ์ฉุกเฉิน ที่ต้องมีความพร้อมทางจิตใจและร่างกายในการปฏิบัติหน้าที่ตลอด24 ชั่วโมง ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ท่ามกลางเหตุการณ์ความไม่สงบ ทำให้สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ประสบปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์มาโดยตลอด หากไม่ใช่กับ นายแพทย์พีระพงษ์ ภาวสุทธิไพศิฐ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยะลา ผู้ที่สวมชุดกาวน์ดูแลสุขภาพของคนในพื้นที่ท่ามกลางเหตุการณ์ความไม่สงบ
มานานถึง 30 ปี
คุณหมอพีระพงษ์ เป็นชาวอำเภอสุไหงโก-ลกจ.นราธิวาส โดยกำเนิด เดิมทีไม่ได้ตั้งใจจะเดินในเส้นทางวิชาชีพแพทย์แม้แต่น้อย ด้วยใจที่รักงานศิลป์ ชอบวาดรูปออกแบบ อยากจะเป็นวิศวกรเสียมากกว่า แต่ด้วยครอบครัวที่เห็นว่าลูกชายมีผลการเรียนที่ดี จึงอยากให้เป็นหมอเพราะคิดว่าเป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับนับถือมีหน้ามีตา และพีระพงษ์ในวัยหนุ่มก็ไม่ทำให้ครอบครัวผิดหวัง สามารถเข้าศึกษาต่อคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้สำเร็จ
ออกเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุความไม่สงบ
“ผมเรียนจบปี 2528 มาเป็นแพทย์ใช้ทุนอยู่ที่โรงพยาบาลนราธิวาส 3 ปี จนถึงพ.ศ.2531 ก็ได้ทุนจากโรงพยาบาลมาเรียนต่อเฉพาะทางศัลยกรรมกระดูกและข้อ ที่รามาธิบดี อีก 3 ปี แล้วก็กลับมาทำงานที่นราธิวาส ในตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลนราธิวาส จนถึงพ.ศ.2554 จึงได้ย้ายมาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเบตง จ.ยะลา ก่อนจะได้ย้ายมาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลยะลา เมื่อปีพ.ศ.2555 จนถึงปัจจุบัน”ด้วยการบ่มเพาะทางวิชาชีพจากโรงเรียนแพทย์แม้จะไม่ได้ตั้งใจจะเป็นหมอตั้งแต่แรก ก็ส่งผลให้ คุณหมอพีระพงษ์ ยืนหยัดอยู่ในอาชีพนี้ โดยยึดหลัก คุณธรรม จริยธรรม ทำงานเต็มกำลังความสามารถ ด้วยความซื่อสัตย์ และมีความเอื้ออาทรต่อคนไทย จึงไม่น่าแปลกใจที่คุณหมอจะเลือกกลับมารับใช้บ้านเกิด
“ตอนจบใหม่ๆ มาเป็นหมอที่นราธิวาส สิ่งที่สัมผัสได้เลย ปัญหาเรื่องสุขภาพของชาวบ้านในพื้นที่แย่กว่าภาคอื่นๆ โรคบางโรคในภาคอื่นๆ ของประเทศหมดไปแล้ว แต่ในสามจังหวัดยังมีอยู่ เช่น โรคคอตีบ โรคเรื้อน ทั้งที่มันฉีดวัคซีนก็ป้องกันได้ แต่ด้วยบริบททางสังคม ศาสนา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพี่น้องไทยมุสลิม เขามองว่าวัคซีนหรือยาบางตัวมันไม่ฮาลาลตามหลักศาสนา เป็นต้น ยิ่งพอมามีปัญหาความไม่สงบทุกอย่างยิ่งแย่ไปใหญ่ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สังคม มีหมอมาอยู่แต่ไม่ใช่คนในพื้นที่ ยิงกันทุกวัน คนเจ็บโดนยิงโดนระเบิด ยิ่งมาอยู่ไกลบ้านก็เกิดความกังวล ในที่สุดก็ขอย้าย
ห้องผ่าตัดที่ผ่านการใช้งานมานาน
ถ้าพูดถึงปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ ณ ปัจจุบัน เมื่อเทียบกับช่วงปี พ.ศ.2547-2549 ต้องบอกว่าดีขึ้นเยอะ ช่วงนั้นยิงกันทุกวัน ระเบิดกันทุกวัน มีผู้บาดเจ็บเข้ารับการรักษาวันละ 4-5 ราย หมอ พยาบาลทำงานกันหนักมาก เหตุการณ์หนักสุดคือทหารขึ้นเฮลิคอปเตอร์ประกาศให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้านหมอ พยาบาลก็ขอย้าย แต่สำหรับผม ผมเป็นคนในพื้นที่ อยู่มาตั้งแต่เกิดและรู้สึกว่าเราเป็นคนไทยคนไทยก็ควรจะอาศัยอยู่ได้ทุกพื้นที่ในประเทศนี้ที่สำคัญคือ ถ้าผมไม่อยู่แล้วใครจะอยู่ได้ อีกอย่างบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่ ถ้าเปรียบกับทหาร ตำรวจ จะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เพราะด้วยวิชาชีพของเราที่ต้องดูแลรักษาผู้ป่วยโดยไม่เลือกชนชั้น สถานภาพ ทำให้เราไม่ใช่เป้าที่เขาจะมาทำร้าย”
สำหรับการดำรงตำหน่ง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยะลา คุณหมอพีระพงษ์บอกว่าต้องทำงานหนักขึ้นเป็นทวีคูณ เนื่องจากโรงพยาบาลยะลา เป็นโรงพยาบาลศูนย์ของสามจังหวัดชายแดนใต้ ขนาด500 เตียง ที่ต้องรองรับผู้ป่วยวิกฤติที่เกินความสามารถโรงพยาบาลในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี และยะลา มีแพทย์ประจำ 66 คน แพทย์ใช้ทุน 18 คน พยาบาลและเจ้าหน้าที่รวมกว่า 600 คน“ใน 3 จังหวัด ศัลยแพทย์ เป็นแพทย์ที่ขาดแคลนมากที่สุด แต่ที่โรงพยาบาลยะลา ณ วันนี้ปัญหาการขาดแคลนแพทย์ลดน้อยลง เพราะเป็นศูนย์ผลิตนักเรียนแพทย์ โดย 3 ปีแรก นักศึกษาแพทย์จะเรียนที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และ 3 ปีหลังมาเรียนที่โรงพยาบาลยะลา แต่ก็ยังทำงานโหลดกันอยู่ ปัญหาทางสุขภาพที่เข้ามารับการรักษามากที่สุด ก็จะเป็น โรคทางอายุรกรรม เบาหวาน หัวใจ มะเร็ง จะพบเยอะมาก รองลงมาเป็นอุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์ไม่สงบ สิ่งที่เราต้องแก้คือ แพทย์ก็น้อย เครื่องไม้เครื่องมือก็ไม่พร้อม จะทำอย่างไร โดยเฉพาะห้องผ่าตัด น้องๆ หมอ ที่โรงพยาบาลก็คิดกันว่าถ้าเรามีห้องผ่าตัด มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยมีความพร้อม ก็จะช่วยให้การทำงานในการช่วยชีวิตผู้ป่วยทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นลดการสูญเสีย หรือไม่ต้องส่งต่อไปยังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์”
ด้วยเหตุนี้ โรงพยาบาลยะลา จึงจัดโครงการปรับปรุงห้องผ่าตัดพร้อมเครื่องมือแพทย์เพื่อโรงพยาบาลยะลา ขึ้น“จริงๆ ก็มีงบจากภาครัฐอยู่ส่วนหนึ่ง สนับสนุนการทำงานของโรงพยาบาล แต่ก็ไม่เพียงพอ บางอย่างที่เราจะช่วยเหลือตัวเองได้ก็อยากทำ อย่างการปรับปรุงห้องผ่าตัดที่กำลังจะทำใช้งบประมาณ20 ล้าน เพราะปัจจุบันห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลค่อนข้างเก่าใช้งานมานาน เครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์บางอย่างก็ไม่รองรับต่อการรักษาพยาบาล ซึ่งห้องผ่าตัดถือว่าเป็นห้องที่สำคัญมากในการให้บริการทางการแพทย์ เราก็จะทำการปรับปรุงจัดหาเครื่องมือต่างๆ ที่ทันสมัยเข้ามา ก็จะเป็นกำลังใจให้กับแพทย์ผู้ปฏิบัติงานได้ทางหนึ่ง ที่สำคัญคือประโยชน์ก็ตกอยู่กับประชาชน นอกจากนี้ เราก็มีโครงการจัดตั้งศูนย์ให้ยืมเครื่องมือแพทย์ช่วยเหลือผู้ป่วยระยะสุดท้ายให้ได้รับการดูแลต่อที่บ้าน เพื่อลดความแออัดของผู้ปวยในโรงพยาบาล ซึ่งตอนนี้ก็เปิดรับบริจาคเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อให้ญาติผู้ป่วยยืมไปใช้ในการดูแลผู้ป่วยด้วยตัวเองที่บ้าน”
ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ก็จะครบวาระที่จะต้องโยกย้าย และมีอายุราชการเหลืออีก 4 ปี คุณหมอพีระพงษ์บอกว่า คงไม่ย้ายไปไหนไกล ขออยู่ในพื้นที่เพื่อดูแลสุขภาพของพี่น้องใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ต่อไปจนกว่าจะเกษียณอายุราชการ
ผู้มีจิตศรัทธา ร่วมเป็นกำลังใจให้กับแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลยะลา ตลอดจนพี่น้องในสามจังหวัดชายแดนใต้ ด้วยการร่วมบริจาคทุนทรัพย์ปรับปรุงห้องผ่าตัด จัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์เพื่อโรงพยาบาลยะลา ได้ที่ ธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี เงินบริจาคโรงพยาบาลยะลา เลขที่ 932-0-83082-7 ทั้งนี้สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โรงพยาบาลยะลา โทร.082-4438991 และ 089-2983764
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี