หากใครที่ชอบเข้าวัดทำบุญ ศึกษาธรรมะและปฏิบัติมานาน วันหนึ่งชีวิตได้ก้าวมาทำงานในระดับผู้บริหาร นอกจากจะได้สัมผัสกับงานที่ตกหลุมรัก ยังมีโอกาสได้ทำบุญช่วยเหลือสังคมและผู้คนจำนวนมากอย่างที่เคยปรารถนา ชีวิตของคนนั้นคงเรียกว่าประสบความสำเร็จ และคงจะมีความสุขไม่น้อยทีเดียว เหมือนเช่นผู้บริหารสาวสวยคนนี้ “วารุณี กิจเจริญพูลสิน” ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ที่เธอมองว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตที่ผ่านมาจนกระทั่งทำให้มายืนในจุดนี้ อาจเป็นเพราะ “ธรรมะจัดสรร” ผลบุญที่เปิดโอกาสให้เธอได้พบงานที่ตรงใจและตอบโจทย์กับความต้องการของตัวเอง ที่จะได้ทำในสิ่งที่รักพร้อมกับทำประโยชน์เพื่อสังคมและองค์กร เป็นรางวัลที่ทรงคุณค่าในชีวิตการทำงาน
วารุณี กิจเจริญพูลสิน หรือเล็ก วัย 40 ปี เธอเป็นหนึ่งในผู้บริหารคนเก่งของ บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ได้เล่าถึงเส้นทางการทำงานแห่งความสุขให้ฟังว่า เกิดและโตที่กรุงเทพฯ ในครอบครัวที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน คุณพ่อทำธุรกิจโรงงานพลาสติก ด้วยเพราะมีลูกสาวจึงอยากให้โตขึ้นได้ทำงานในสถานที่ดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน หลังจบชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ ครอบครัวจึงส่งไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย ในระดับปริญญาตรี ด้านการโรงแรม ที่ Victoria University of Technology ที่เมืองเมลเบิร์น แต่ด้วยผลการเรียนในวิชาเศรษฐศาสตร์อยู่ในขั้นดี ประกอบกับมีใจรักและสนใจเรื่องเศรษฐศาสตร์เป็นทุนเดิม เธอจึงเลือกศึกษาต่อระดับปริญญาโท ในสาขา Advanced Economics ที่ University of New South Wales เมืองซิดนีย์
“เลือกเรียนด้านนี้ เพราะชอบเรื่องการเมือง อยากเป็นนักการเมือง ทำนโยบายเศรษฐกิจในภาพใหญ่ แต่ตอนนั้นคืออายุยังน้อย พอเรียนจบก็ไม่ได้คิดตรงนั้นแล้ว แต่ในช่วงที่เรียนการโรงแรมที่ออสเตรเลียในระดับปริญญาตรี ได้กลับมาฝึกงานที่โรงแรมโอเรียนเต็ลหนึ่งปี พอเรียนจบจึงเลือกกลับมาทำงานด้านโรงแรมเต็มตัว เริ่มต้นงานแรกที่โรงแรมฮิลตันในปี 2000 ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายประมาณ 2 ปี จากนั้นจึงออกหาประสบการณ์กับโรงแรมชื่อดังต่าง ๆ อาทิ Chiva-Som International Health Resort, The Metropolitan Hotel Bangkok และโรงแรมโอเรียนเต็ล รวมทำงานด้านโรงแรมประมาณ 7 ปี
จากนั้นในปี 2007 มีพี่ที่สนิทชวนมาสมัครงานที่เซ็นทรัลกรุ๊ป เนื่องจากไม่เคยทำงานในลักษณะรูปแบบของบริษัทมาก่อน จึงสนใจลองสมัครดู ปรากฏว่าได้ทำงานในตำแหน่ง GM ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร ดูแลทางด้านประสานงานหน่วยงานราชการและการประชาสัมพันธ์ ทำงานอยู่ที่เซ็นทรัลกรุ๊ปประมาณ 7 ปีกว่า แต่ด้วยจังหวะและโอกาสที่ทางบิ๊กซีเปิดรับสมัครงาน และรู้สึกชอบงานด้านนี้แล้ว จึงได้ทำงานที่ บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ เมื่อเดือนธันวาคม 2014 ปัจจุบันทำงานมาประมาณ 8 เดือนแล้ว”
วารุณี ยอมรับว่า เธอชอบงานค้าปลีกมากกว่า เพราะสนุกกว่า ท้าทายกว่าและดูเหมือนโลกจะกว้างกว่า เป็นงานที่ต่อเนื่อง ต้องทำงานหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการคิดโปรโมชั่นการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า กับสื่อมวลชน พนักงาน หรืองานทางด้านประชาสัมพันธ์ รวมทั้งดูแลเรื่องกิจกรรมเพื่อสังคม หรือ CSR ด้วย ทำให้มีเรื่องต่างๆ มาให้คิดตลอดเวลา
“รู้สึกสนุกกับงานมาก แต่อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ในงานด้านโรงแรมที่เน้นเรื่องเซอร์วิสมาย (service mind) คือทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจมากที่สุด ก็ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับงานค้าปลีกได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานใดก็ตาม ทั้งภายในหรือภายนอกองค์กรก็ใช้หลักการนี้ และยังสามารถนำไปใช้ทั้งในชีวิตประจำวันและติดตัวเราจนเป็นนิสัย”
เมื่อถามถึงการทำงานในส่วนกิจกรรมเพื่อสังคม หรือ CSR วารุณี บอกว่า บิ๊กซีจะไม่ได้เน้นเรื่องการให้แล้วจบกันไปเหมือน CSR ในยุคก่อน แต่จะเน้นในเรื่องความยั่งยืนมากกว่า เพราะมองว่าสังคมนั้นควรยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง เพียงแต่มีตัวชี้วัดว่าเมื่อให้แล้วคุณภาพชีวิตของสังคมหรือชุมชนนั้นดีขึ้นอย่างไร เห็นได้ชัดคือโครงการ “บิ๊กซี จับมือทำดีเพื่อชุมชน”ที่จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 แล้ว โดยบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ร่วมกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนด้วยแนวคิด Bottom-up CSR เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ร่วมโหวตให้กับโครงการที่ชื่นชอบผ่านทางเฟซบุ๊ค “สร้างวันใหม่กับบิ๊กซี” โดย 5 โครงการที่ได้รับการโหวตสูงสุดจากจำนวนทั้งสิ้น 150 โครงการจะได้งบประมาณสนับสนุนดำเนินการโครงการรวม 1.5 ล้านบาท พร้อมมีการส่งมอบภายในปีนี้
“หัวใจสำคัญของการทำกิจกรรมเพื่อสังคม คือการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ประกอบไปด้วยชาวบ้านและชุมชน สาขาใกล้เคียงของห้างบิ้กซี และหน่วยงานราชการ ภายใต้ แนวคิดBottom-up CSR คือหากชุมชนต้องการอะไร เราก็ตอบสนองตรงนั้น เมื่อพวกเขามีส่วนร่วม เขาก็จะช่วยกันดูแลให้ดีขึ้น นี่คือเคล็ดลับความสำเร็จของโครงการต่างๆที่ผ่านมาของบิ๊กซี”
สำหรับโครงการ “บิ๊กซี จับมือทำดีเพื่อชุมชนปี 3” ขณะนี้ได้ประกาศผลโหวต 5 โครงการเพื่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนแล้ว ได้แก่ 1.โครงการบำบัดน้ำเสียคูคลองในคลองสวนศรีเมืองด้วยเทคโนโลยีนาโน โดยบิ๊กซี ระยอง2.โครงการตลาดสีเขียว โดยบิ๊กซี ชัยภูมิ 3.โครงการศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านตลิ่งชัน โดยบิ๊กซี สุโขทัย 4.โครงการสร้างแหล่งเรียนรู้ประจำมัสยิดบ้านแป-ระเหนือ โดยบิ๊กซี สตูล และ 5.โครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการ โดยบิ๊กซี สมุทรสงคราม ซึ่งเราจะดำเนินการส่งมอบพร้อมกัน โดยจะเริ่มทยอยลงพื้นที่ในเดือนสิงหาคมนี้เป็นต้นไป
“รู้สึกโชคดีมากที่ได้มาทำงานตรงนี้ ปกติเวลาว่างจะชอบไปวัด ทำบุญและปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว เพราะเหมือนได้ชาร์จแบตตัวเอง และช่วยให้เรามีความมั่นคงมากขึ้นทางด้านจิตใจ สามารถปล่อยวางหรือว่ามองอะไรให้เป็นธรรมชาติได้ อีกทั้ง ธรรมะสามารถนำมาปรับใช้ในงานได้อย่างดี การได้มาทำงานที่บิ๊กซีนี้ เป็นโอกาสดีที่ได้มาดูแลโครงการเพื่อสังคม ได้ไปเห็นคนที่ลำบาก ได้เห็นนโยบายของบริษัทที่ชัดเจน เป็นภาพใหญ่ และมุ่งหวังให้สังคมดีขึ้น สิ่งเหล่านี้ได้ตอบโจทย์ตัวเองได้ว่าเรา “อยู่ถูกที่” เหมือนได้ทำบุญไปด้วย ทำให้มีความสุขในการทำงานอย่างมาก และมีความสุขทุกครั้งในการลงพื้นที่ไปช่วยเหลือสังคม เพื่อเห็นรอยยิ้มของชาวบ้านที่บิ๊กซีได้เข้าไปช่วยเหลือ อาจเรียกว่าสิ่งเหล่านี้เป็น “ธรรมะจัดสรร”ที่ทำให้ได้มาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรนี้และร่วมทำประโยชน์ให้กับสังคมในวันนี้”
ผู้บริหารสาวคนเก่ง บอกอีกว่า เธอยังใช้หลักคิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นปรัชญาในการทำงาน คือความอดทน วิริยะ อุตสาหะ ต้องเข้าใจหน้าที่ของตนเอง ทำเพื่อองค์กรและต้องซื่อสัตย์สุจริต แม้วันนี้เธอจะก้าวสู่ตำแหน่งระดับผู้นำที่มีลูกน้องมากมาย แต่จะไม่บริหารงานแบบเผด็จการ เพราะอยากเห็นการทำงานที่มีบรรยากาศเสมือนพี่น้องและครอบครัวที่ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เป็นทีมเวิร์กที่ดี ดังนั้น ทุกคนจะมีส่วนร่วมในการคิดเสมอ นอกจากนี้ สิ่งสำคัญคือต้องประเมินผลในสิ่งที่ทำทุกครั้ง ไม่ว่างานนั้นจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ทุกอย่างคือบทเรียนที่จะทำให้เรียนรู้ในงานครั้งต่อไปได้
“อยากให้ทุกคนมองผลประโยชน์ของบริษัท แค่รู้หน้าที่ของตัวเองว่ารับผิดชอบอะไร แล้วทำมันให้ดีที่สุด ส่วนชีวิตส่วนตัว หากสามารถปล่อยวางเรื่องต่างๆ ลงบ้างและอยู่อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น จะช่วยรักษาใจเราให้มั่นคง ไม่ให้หวั่นไหวได้ และมีความอดทนต่อสิ่งต่างๆ เรื่องของธรรมะจึงเป็นเรื่องที่น่าศึกษาอย่างมาก เพราะสามารถนำมาประยุกต์ช่วยในเรื่องการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้เป็นอย่างดี อยากให้ทุกคนลองหาโอกาสศึกษาหรือปฏิบัติธรรม คบกัลยาณมิตรที่ดี และหาครูดีๆเพื่อชี้นำแล้วจะพบว่าชีวิตคนเราไม่มีอะไรมาก เกิดแก่เจ็บตาย มีเพียงบุญกุศลและความดีที่จะตามติดเราไปได้เท่านั้น”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี