การได้ย้ายสถานศึกษาหลายแห่งในช่วงวัยประถม และการเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ทำให้ จิรอร อัสรัตน์ หรือ “ครูหนู” แห่ง Ivy Bound
International School ได้สัมผัสกับระบบการศึกษาที่แตกต่างกัน ทั้งไทย-เทศ มองเห็นจุดดี-จุดด้อยของแต่ละระบบ และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เธอหันมาสู่แวดวงการศึกษา และพัฒนาระบบการศึกษาที่จะสร้างให้เด็กเก่ง ดี และมีความสุขกับการเรียนรู้
“จากประสบการณ์ในวัยเด็กตอนประถม หนูมีโอกาสเรียน 3 ระบบการศึกษา ระบบไทยที่โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร พอประถม 4 ย้ายมาเรียนโรงเรียนร่วมฤดีอินเตอร์ ก่อนจะย้ายไปอยู่โรงเรียนประจำที่สหรัฐอเมริกา ทำให้เห็นความแตกต่างของวัฒนธรรมทางสังคม และวัฒนธรรมการเรียนรู้ เช่น การอยู่โรงเรียนไทยเรื่องระเบียบวินัย ความเคารพต่อผู้ใหญ่ครูบาอาจารย์ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก และการที่คุณครูให้การบ้านเยอะทำให้เรามีความรับผิดชอบมากขึ้น ในขณะที่โรงเรียนอินเตอร์ได้เรียนรู้เรื่องการยอมรับความแตกต่างในเชื้อชาติของคน ส่วนระบบการศึกษาของอเมริกา (Boarding School) สอนให้เราได้รู้จักพึ่งพาตนเอง คุณครูที่โรงเรียนยินดีตอบคำถามในสิ่งที่เราสงสัยได้ทุกอย่าง”
ดังนั้น เมื่อต้องตัดสินใจศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ครูหนูจึงเลือกศึกษาต่อปริญญาตรีในสาขาจิตวิทยา ที่มหาวิทยาลัยเยล และเรียนปริญญาโท คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด โดยที่ตั้งใจจะกลับมาเปิดโรงเรียนในฝันของตัวเองให้สำเร็จ เพราะต้องการสร้างสิ่งแวดล้อมของโรงเรียนให้ทุกคนมีความสุขเวลาที่ได้มาโรงเรียน สามารถสร้างวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ให้ทุกคนที่มีความแตกต่างยอมรับซึ่งกันและกัน เพื่อจะปกป้องเด็กให้มีความสุข Ivy Bound International School จึงก่อตั้งขึ้นด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เอง
“หนูมีความมุ่งมั่นที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม โดยเริ่มต้นจากเด็ก นำประสบการณ์ต่างๆ ที่เราเจอมา สิ่งไม่ดีก็ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นกับนักเรียนในโรงเรียนของเราเพราะฉะนั้น Ivy Bound International School จึงเปรียบเสมือน Safe Haven เป็นสวรรค์เล็กๆ ที่เราสร้างให้กับเด็ก อยากปกป้องเด็ก ไม่เน้นว่าจะต้องรับเด็กเยอะ แต่เน้นกับคุณครูทุกคนว่าต้องการให้เด็กออกมาเป็นแบบไหน ให้มีเป้าหมายแบบเดียวกันกับเรา ไม่ได้จ้างมาเพื่อสอนเพียงอย่างเดียวแต่ต้องการให้ครูรู้สึกถึงเป้าหมายของโรงเรียนนี้จริงๆ เพื่อให้เด็กมีความสุขกับการเรียนรู้ และการใช้ชีวิตในโรงเรียน โดยการนำระบบการศึกษาที่เรียกว่า Inno Education มาใช้ในการเรียนการสอน
Inno Education ไม่ใช่ระบบหรือหลักสูตรการศึกษา แต่เป็นการนำความรู้ที่ได้เรียน งานวิจัยต่างๆ รวมถึงประสบการณ์ มาพัฒนาและประยุกต์ใช้กับวัฒนธรรมการเรียนการสอนของเด็ก คุณครู ผู้ปกครอง เน้นให้เด็กเรียนรู้แบบโฮลิสติก (Holistic) คือ Social รู้จักการใช้ชีวิตในสังคม, Emotional มีการพัฒนาทางอารมณ์ที่เหมาะสม และ Cognitive Learning มีการพัฒนาทางความคิด ซึ่งจะต้องฉลาดในการวิเคราะห์ ปรับตัว และคิดนอกกรอบ จากการเรียนการสอนแนวใหม่นี้ทำให้เด็กมีคุณภาพ ประสบความสำเร็จ และได้แสดงศักยภาพที่โดดเด่นออกมา โดยคนส่วนใหญ่จะเอาระบบการศึกษาจากต่างประเทศมาใช้กับเด็กในโรงเรียน โดยไม่ได้ประยุกต์ให้เหมาะสม ซึ่งเราคิดว่ามันไม่ใช่เวลาที่จะหยิบมาใช้ ต้องหัดพลิกแพลงประยุกต์ใช้ให้เข้ากับนักเรียนให้ดีที่สุด”
ครูหนูบอกเล่าถึงความประทับใจจากการได้เห็นพัฒนาการของเด็กนักเรียน Ivy Bound International School ด้วยการเรียนการสอนแบบ Inno Education
“ตอนเปิดโรงเรียนใหม่ ก็นั่งคิดว่าเวลาเด็กทานอาหารที่โรงเรียนจะทำอย่างไรดี ถ้าเป็นโรงเรียนฝรั่งก็จะใช้มือทานแซนด์วิช ไม่มีช้อนส้อม ไม่มีการจัดโต๊ะ มีแค่แก้วน้ำวาง และวางกระดาษ ถ้าเป็นโรงเรียนไทยก็จะคล้ายกัน แต่จะมีผ้ากันเปื้อนหรือมีจานหลุม แต่เราคิดว่าทั้ง 2 แบบนี้ไม่ใช่ พอดีกับที่หนูชอบเรียนรู้เรื่องการ Etiquette มารยาทบนโต๊ะอาหาร การรับแขก ซึ่งคนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แต่เราคิดกลับกันว่าหากสอนตอนโต มันจะไม่อยู่ในนิสัยเดี๋ยวก็เผลอลืม เลยคิดว่าควรสอนตั้งแต่เด็ก 2 ขวบ สอนให้จับช้อนส้อม หรือจัดโต๊ะทานอาหารให้เรียบร้อย วางผ้าเช็ดปากเหมือนโต๊ะอาหาร หัดให้ดึงออกมาวางไว้ตรงตัก ทำทุกวันจนชินจนเกิดความเข้าใจว่าเวลาทานอาหารฝรั่งต้องใช้ส้อม ทานอาหารไทยใช้ทั้งช้อนและส้อม ครั้งหนึ่งผู้ปกครองเล่าว่า เวลาพาขึ้นเครื่องบินเมื่อเด็กเห็นผ้าเช็ดปากจะรีบดึงมาวางไว้ที่ตักทันที เราก็ภูมิใจในการสร้างนิสัย มารยาทที่ดีให้กับเด็กเวลาเขาเข้าสังคมในอนาคตได้อย่างเป็นธรรมชาติ”
เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจต่อการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของเด็ก ซึ่งอาจจะมีหลายคนมองว่า ครูหนูไม่เห็นความสำคัญของระบบการศึกษาแบบไทยไปหรือเปล่า ซึ่งในเรื่องดังกล่าว ครูหนูให้ความเห็นว่า
“ในวัฒนธรรมที่สร้างระบบการศึกษาไทยขึ้นมาแบบนี้ ไม่ใช่ว่าทุกอย่างไม่ดี เรื่องวินัย ความเคารพต่อผู้ใหญ่ครูบาอาจารย์เป็นสิ่งที่ดี แต่เราต้องมีมากกว่านั้น คือการสอนให้เด็กหัดคิดนอกกรอบ ประยุกต์ใช้ข้อมูลที่ได้มาจากครูเพื่อนำมาปรับใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งการที่เด็กจำทำแบบนั้นได้ อยู่ที่ตัวคุณครู บุคลากร การตั้งคำถามในห้องเรียน การออกข้อสอบ หลักสูตรและคนที่ควบคุมหลักสูตรด้วย ต้องฝึกสอนครูในแต่ละโรงเรียนที่จะหัดตั้งคำถามให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์และนำไปใช้ได้เป็น”
สุดท้าย ครูหนูยังฝากไปถึงบรรดาพ่อ-แม่ผู้ปกครอง ด้วยว่า ผู้ปกครองส่วนใหญ่ในสมัยนี้ มีความคิดอยู่ 2 แบบคือ ไม่ต้องการให้ลูกเก่งหรือเรียนดีมาก แต่ขอให้มีความสุขและเป็นคนดี ในขณะที่อีกแบบหนึ่งบอกว่า อยากให้ลูกเรียนเก่งเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ซึ่งจริงๆ แล้วผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะเด็กสามารถเป็นได้ทั้ง 2 แบบ สามารถเรียนเก่งมีความสุขกับการเรียนรู้ได้ ซึ่งเธอเชื่อมั่นว่า Inno Education จะช่วยให้บุตรหลานของพวกเขาเป็นเช่นนั้นได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี