ด้วยความสัมพันธ์ของประชาคมอาเซียน คณะทูตานุทูตโดยการนำของกระทรวงวัฒนธรรมไทยและกัมพูชา จึงได้มีโอกาสได้เข้าถึงปราสาท“บันทายฉมาร์” ซึ่งเป็นปราสาทหินเขมรที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลก อาทิตย์นี้ขอตามหาภูมิมหาปราสาทที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ไปที่ จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา ด้วยปราสาทบันทายฉมาร์แห่งนี้เป็นปราสาทที่ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงโปรดให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่เก็บอัฐิของพระโอรสคือ “เจ้าชายศรินทรกุมาร” หรือศรีนทรกุมาร สิ้นพระชนม์จากการทำสงครามในพื้นที่แถบนี้ ชื่อของบันทายฉมาร์หรือ “บันเตียฉมาร์” นั้นแปลว่า “ป้อมเล็ก” แต่ก็มีมูลอื่นว่า บันทายฉมาร์ หมายถึง “ป้อมแมว”หรือ “ปราสาทแมว” ทั้งที่บริเวณตั้งของปราสาทแห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก ด้วยความที่ตัวปราสาทนั้นสร้างขนาดหลังเล็กกว่าปราสาทนครวัด จึงสื่อถึงความเป็น ป้อมเล็กหรือปราสาทเล็ก หากเทียบเป็นสัตว์ก็ขนาดแมวนั่นแหละ
จากผลของสงครามนั้นทำให้เกิดการพังทลายของปราสาทหลายแห่ง จากความยากจนของชาวบ้านนั้น ปราสาทบันทายฉมาร์จึงไม่พ้นจากการถูกลักลอบหาสมบัติเพื่อนำไปขาย ด้วยความเชื่อว่าปราสาทแต่ละหลังมีการฝังทอง และสิ่งของมีค่าไว้จำนวนมาก ส่วนจะพบอะไรแค่ไหนนั้น คงไม่น่าสนใจเท่ากับการลักลอบขโมยรูปจำหลักภาพพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรบนกำแพงปราสาทที่สามารถยกไปทั้งกำแพงแต่ก็ถูกจับได้ที่เมืองไทย ซึ่งรัฐบาลไทยได้ส่งคืนกลับให้กัมพูชา การลักลอบขโมยโบราณวัตถุชิ้นสำคัญดังกล่าวนั้นทำให้ปราสาทบันทายฉมาร์เป็นที่รู้จักกันมากขึ้น
ต่อมากัมพูชาได้เปิดปราสาทบันทายฉมาร์ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชมได้ตั้งแต่ปีพ.ศ.2548 แม้ว่าตัวปราสาทกำลังอยู่ในกระบวนการบูรณะด้วยระบบ “อนัสติโลซิส” ก็มีความน่าสนใจไม่น้อย บริเวณด้านนอกเป็นสะพานนาคราชรูปจำหลักเทวดากับเหล่าอสูรที่กำลังยุดนาคกวนเกษียรสมุทร ข้ามบารายหรือสระน้ำที่ล้อมรอบบริเวณปราสาท ปัจจุบันเหลือชิ้นส่วนให้เห็นในสภาพเศียรเทวดา อสูร และนาค หายไปหมดสิ้น ส่วนบารายนอกตัวปราสาทนั้นเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ทางทิศตะวันออกที่ขุดขึ้นเพื่อเก็บน้ำไว้สำหรับชุมชน ซึ่งแสดงถึงการใช้ระบบชลประทานโบราณของชาวขอม ด้านหน้ามี “ธรรมศาลา” หรือที่พักคนเดินทางยังมีสภาพเหมือนสร้างไม่เสร็จ อยู่ก่อนถึงลานด้านหน้าปราสาท ที่วางรูปชิ้นส่วนของรูปจำหลักหัวราวสะพานนาครูปครุฑขี่นาคที่มีความงดงามมาก
บริเวณปราสาทประกอบด้วยระเบียงคดที่พังทลายลงเป็นกองหินและมีกำแพงภาพสลักหินนูนต่ำทั้งเก่าและใหม่ที่มีการบูรณะ ซึ่งโดยรอบนั้นกำแพงด้านนอกของ “โคปุระ” นั้น ได้สลักภาพเป็นแนวยาวอยู่ทั้งสี่ด้าน โดยมีซุ้มประตูก่อนเข้าไปตัวปราสาทประธานที่ยังมีบางส่วนเป็นกองหินอยู่และถูกทิ้งร้างมานาน ภาพสลักนั้นเล่าเรื่องราวการสู้รบของเจ้าชายศรินทรกุมาร ภาพการยกทัพที่มีกองกำลัง พาหนะศึกทั้งช้าง ม้า เกวียน เรือ ทหาร รวมไปถึงทัพครัวของขอมสมัยโบราณ ภาพทหารถวายหัวผู้ทรยศหรือข้าศึก ภาพวิถีชีวิต และภาพการเข้าเฝ้าพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่ท้องพระโรง ภาพ พราหมณ์ทำพิธีบูชาศิวลึงค์ เป็นต้น ส่วนภาพสลักหนึ่งเดียว คือ กลุ่มภาพพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรแสดงพลานุภาพท่ามกลางเหล่าทวยเทพ น่าเสียดายที่บางส่วนถูกโจรกรรมเจาะพระพักตร์ไป จึงมีกำแพงบางส่วนก็ถูกขโมยไปทั้งแถบ ตัวปราสาทชั้นในที่ตัวเรือนธาตุนั้นด้านบนสลักเป็นภาพพระพักตร์ “พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร” ทั้ง 4 ทิศ เชื่อกันว่าเป็นพระพักตร์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เช่นเดียวกับปราสาทบายน ในนครธม
นอกจากนั้นตามทับหลัง หน้าบัน หรือหลืบมุม ต่างๆ ในบริเวณปราสาทชั้นในยังมีภาพแกะสลักหินอันสวยงามอยู่จำนวนมาก เป็นภาพนางอัปสราพระศิวะ พระวิษณุ พระพรหม เทวดา ครุฑ ฤาษี พราหมณ์ เป็นต้น ปราสาทบันทายฉมาร์แม้จะทรุดโทรมตามกาลเวลาก็ยังทิ้งความอลังการให้เห็นไม่แพ้ปราสาทนครวัด-และปราสาทบายนของนครธมทีเดียว เป็นภูมิมหาปราสาทที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดในโลก และสามารถเดินทางเข้าทางจังหวัดสระแก้ว ซึ่งในไม่ช้าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เชื่อมต่อปราสาทสด๊กก๊อกธมที่อยู่ในเขตประเทศไทย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี