คณะจากสถาบันอยุธยาศึกษาที่มี่เซิน
สมัยอยุธยานั้นมีเรื่องราวของแขกจามหรือกองอาสาจามปรากฏอยู่ เมื่อสถาบันอยุธยาศึกษา โดย ดร.จงกล เฮงสุวรรณ และคณะได้มีโครงการพาไปศึกษาเรื่องนี้ที่ประเทศเวียดนาม จึงเป็นที่สนใจ อาทิตย์นี้ได้ตามรอยค้นหาชาวจามจากโบราณสถานสำคัญที่ปราสาทหมีเซิน กับโครงการศึกษาด้านประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 3 อาณาจักรจามหรือจามปานั้นเป็นอาณาจักรโบราณที่ตั้งขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 7 อยู่ทางใต้ของจีนและอยู่ทางเหนือของฟูนัน ปัจจุบันคือ เมืองเว้ กว่างนาม ถัวเถียน แผนรัง และ ญาจาง
สมัยก่อนพื้นที่นี้เป็นเขตทุรกันดารที่ทำให้จีนไม่สามารถครอบครองพื้นที่นี้ได้ ชนชาติจามนี้สืบเชื้อสายจากชาว มาลาโย-โพลินีเชียน ที่เชื่อว่ามีวัฒนธรรมซาหินห์ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ ชนชาติจามเป็นชาวทะเลที่มีความสามารถทางการเดินเรือ ต่อมาราว พ.ศ.999 กองทัพจีนได้ยกทัพมาตีเมืองหลวงของชาวจามได้ เมื่อพุทธศตวรรษที่ 10 นั้นมีชาวจีนชื่อ มาตวนหลิน ได้เขียนเรื่องของชาวหลินยี่ หรือ ชาวจามกลุ่มนี้ว่า “ชาวบ้านสร้างบ้านด้วยอิฐแล้วฉาบด้วยปูน หญิงและชายมีผ้าฝ้ายผืนเดียวห่อหุ้มร่างกาย และชอบเจาะหูและห้อยห่วงเล็ก ผู้ดีใส่รองเท้าหนัง พวกไพร่เดินเท้าเปล่า พระราชาทรงพระมาลาทรงสูง ทรงช้าง
และล้อมรอบด้วยบริพารถือธงและกลดกั้น”
คณะจากสถาบันอยุธยาศึกษาที่ศึกษาเรื่องจาม
เมื่อพุทธศตวรรษที่ 17 นั้น ชาวจามถูกกองทัพของพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 กษัตริย์เขมรตีได้ ต่อมาพ.ศ.1856 พ่อขุนรามคำแหงแห่งแคว้นสุโขทัยได้เข้าตีอีก พ.ศ.2014 ราชวงศ์เลของอาณาจักรไดเวียดได้ยกมาตีกรุงวิชัยเมืองหลวงของจาม ปัจจุบันคือเมืองบิญดิญ ครั้งนั้นชาวจามเสียชีวิต 6 หมื่นคน ตกเป็นเชลย 3 หมื่นคน ทำให้เสียความเป็นชาติไปพร้อมกับยอมสวามิภักดิ์เป็นเมืองขึ้นของญวนหรืออาณาจักรไดเวียด
ครั้งนี้จึงมีชาวจามส่วนหนึ่งอพยพเข้ามาอาณาจักรสยามเมื่อพ.ศ.1991 และเป็นอาสาจามในสมัยอยุธยา ชาวจามกลุ่มแรกในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้เข้าเป็นทหารชั้นดีในราชสำนักอยุธยาทำการรบ การเดินเรือ และการค้าทางทะเล ที่ขยายอาณานิคมของอาณาจักรอยุธยาลงทางใต้ ชาวจามได้เข้าตีเมืองชุมพรจากนครศรีธรรมราชได้ จึงปกครองดินแดนแถบเมืองชุมพร และเมืองไชยาคอคอดกระและยังกวาดต้อนชาวเมืองพงสาลี และชาวเมืองแถงหรือเดียนเบียนฟู เป็นพลเมือง ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และเป็นเมืองท่าค้าขายสำคัญตั้งแต่นั้นมา
จารึกที่ปราสาทหินจาม
สมัยพระนารายณ์ ตั้งแต่สมัยพระนารายณ์ ได้ทำหน้าที่รับผิดชอบด้านการเดินเรือทะเล โดยเป็นพนักงานกำปั่นหลวง ในรัชกาลที่ 3 ระหว่าง พ.ศ.2330-2394 ช่วงที่ญวนทำสงครามกับเขมรช่วงที่ญวนทำสงครามกับเขมร ชาวจามหรือแขกจามที่นับถือศาสนาอิสลามได้ถูกกวาดต้อนจากกัมพูชาเข้ามาอยู่ครั้งแรกที่ ตำบลนํ้าเชี่ยว แห่งเดียว ต่อมาในรัชกาลที่ 5 ชาวจามได้อพยพหนีจากการบีบบังคับด้านศาสนาจากฝรั่งเศสที่ยึดเมืองเขมร จามกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า แขกจาม หรือจามปา เดินทางด้วยเรือมาเป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งแยกย้ายตั้งถิ่นฐานอยู่แถวแหลมงอบ ปากนํ้าระยองและบ้านครัว
ปราสาทของจามที่หมีเซิน
ชาวจามนั้นเดิมนับถือศาสนาพราหมณ์และพุทธศาสนา เมื่อชาวมลายูเผยแพร่ศาสนาอิสลาม ไปถึงชาวจามส่วนหนึ่งจึงหันมานับถือศาสนาอิสลามตาม เรียกกันว่า แขกจาม วัฒนธรรมจามนี้มีความเจริญรุ่งเรืองในหุบเขาหมี่เซินโดยพระเจ้าภัทรวรมันที่ 1 ในคริสตศวรรษที่ 4 ครอบครองพื้นที่ทางตอนใต้ของฮานอยไปถึงเวียดนามใต้และตะวันออกของกัมพูชา มีกษัตริย์ครองอาณาจักร 78 องค์ ใน 14 ราชวงศ์ บรรดาปราสาทที่สร้างขึ้นถวายพระศิวะนั้นมีอยู่มากมายกว่า 70 แห่ง แต่ถูกทำลายจากสงคราม
ที่น่าสนใจก็คือกลุ่มปราสาทที่หมีเซิน ซึ่งได้รับการลงทะเบียนเป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 23 เมื่อปี พ.ศ.2542 ณ เมืองมาร์ราเกช ประเทศโมร็อกโก ปราสาทแห่งนี้ เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีอิทธิพลมาก ผลักดันให้เกิดการพัฒนาด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้องไปกว้างไกล ปราสาทที่หุบเขาหมีเซินนับเป็นโบราณสถานของศาสนาฮินดูที่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดของอินโดจีน
กลุ่มปราสาทหมีเซิน
จารึกของปราสาทจาม
ปราสาทจามที่หมีเซิน
กลุ่มปราสาทหมีเซิน
ศิลปกรรมของเทวสถานจามที่หมีเซิน
โบราณวัตถุดินเผาของจาม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี