นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาถึงเมืองมิลานครั้งแรก คงไม่ได้ตั้งใจมาเพียงแค่ช็อปปิ้งเท่านั้น สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็น The Must ต้องไปให้ได้ก็คือ Duomo Milan หรือ Milan Cathedral มหาวิหารแนวโกธิกซึ่งใหญ่เป็นอันดับห้าของโลก และใหญ่เป็นอันดับสองของอิตาลีนี้ใช้เวลาสร้างร่วม 600 ปี มหาวิหารที่อยู่ใจกลางเมืองและเป็นศูนย์กลางของเมืองแห่งนี้เริ่มต้นสร้างภายใต้ชื่อ St.Thecia ในปี 355 เมื่อโบสถ์หลังแรกไฟไหม้ไปในปี 1075 ต่อมาในปี 1386 Archbishop Antonio da Saluzzoบาทหลวงองค์แรกจึงดำริที่จะริเริ่มการสร้างมหาวิหารขึ้นใหม่บนพื้นที่ของ Basillica of Santa Maria Maggiore เพื่อเฉลิมฉลองให้กับการเถลิงขึ้นสู่อำนาจของ Gian Galeazzo Visconti และเพื่อปลอบขวัญคหบดีและชนชั้นแรงงานที่ถูกรังแกจาก Bernabo Visconti ผู้ปกครองคนก่อนโดยได้ทำลายวังเก่าของ Archbishop เดิมเสีย
Gian Galeazzo Visconti ลอร์ดมิลานได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อดูแลการออกแบบ สร้างและปรับปรุงมหาวิหารโดยเน้นการใช้หินอ่อน Condoglia โดยได้ว่าจ้างสถาปนิก นักประติมากรรมและช่างที่มีชื่อเสียงจากทั่วทั้งยุโรปกลางมาทำงานในโครงการสถาปนิกคนแรกที่เข้าร่วมโครงการก็คือ Nicholas de Bonaventure ชาวฝรั่งเศสหลังจากเริ่มโครงการได้ 10 ปี รัฐบาลก็ได้ว่าจ้าง Jean Mignot สถาปนิกฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นอีกคนเพื่อทำให้งานก้าวหน้าเร็วขึ้น อย่างไรก็ดี แทนที่ Mignot จะให้ความเห็นที่ส่งเสริม เขากลับเห็นว่า วิธีการสร้างแบบเดิมน่าจะทำให้มหาวิหารพังได้ง่ายขึ้น ถึงกระนั้นก็ตาม คำทำนายของเขากลับไม่เป็นจริง เพราะสถาปนิกและวิศวกรได้พยายามปรับปรุงเทคนิคจนการก่อสร้างก้าวหน้าขึ้นมาก และเสร็จไปถึงครึ่งหนึ่งในปี 1402 อันเป็นปีที่ Gian Galeazza เสียชีวิต
ด้านข้างมองจากช็อปปิ้งมอลล์
หลังจากที่ Carlo Borromeo ได้ขึ้นเป็น Archbishop เขาได้ว่าจ้าง Pellegrino Pellegrini สถาปนิกและวิศวกรยุค Mannerism ชาวอิตาลีมาร่วมก่อสร้างมหาวิหารใหม่โดยได้ย้ายหลุมศพของ Archbishop เก่าๆ ออกไปจากมหาวิหาร และเปลี่ยนแนวทางศิลปะของมหาวิหารใหม่โดยเน้นให้เป็นแบบโรมันอิตาเลียน แทนที่จะเป็นโกธิกแบบเดิม อย่างไรก็ดี งานออกแบบใหม่นี้กลับไม่ได้นำมาสร้าง ยกเว้นส่วนของการตกแต่งภายในที่เน้นให้เป็นแบบอิตาเลียนมากขึ้น เช่น ภาพวาดขนาดใหญ่ของ San Carlo และงานแกะสลักไม้รูปนักร้องเสียงประสาน
ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 Francesco Maria Richini และ Fabio Mangone สองสถาปนิกแนวบาโรกชาวอิตาเลียนได้ร่วมกันออกแบบหน้ามุกของมหาวิหารใหม่ แต่เมื่อ Calro Buzzi หัวหน้าสถาปนิกคนใหม่เข้าร่วมโครงการเขาก็เปลี่ยนด้านหน้ามหาวิหารใหม่อีกให้เป็นแบบโกธิกเช่นเดิม รวมทั้งตกแต่งเสาด้านหน้าให้เสร็จสมบูรณ์ ส่วนของ Madonnaina’s spire ที่ได้รับการออกแบบโดย Carlo Pellicani ได้ถูกยกขึ้นสู่ความสูง 108.5 เมตรในปี 1762 หากวันใดชาวมิลานเห็นรูปมาดอนน่าบนยอดเสานี้แสดงว่าวันนั้นเป็นวันที่มีอากาศดี
บนหลังคา
ในวันที่ 20 พฤษภาคม 1805 นโปเลียน โบนาปาร์ต ที่กำลังปกครองอิตาลีในเวลานั้นสั่งให้สถาปนิก Pellicani ตกแต่งด้านหน้าของมหาวิหารให้เสร็จโดยใช้เงินจากฝรั่งเศสก่อน ภายในเวลาเพียงแค่ 7 ปี ด้านหน้าของมหาวิหารก็เสร็จสมบูรณ์ตามคำสั่ง แม้ว่ารัฐบาลฝรั่งเศสจะไม่สามารถขอเงินค่าตกแต่งคืนจากอิตาลีเลยก็ตาม Pellicani ได้ตอบแทนนโปเลียนโดยได้สร้างอนุสาวรีย์ของนโปเลียนไว้บนยอดเสาเสมือนหนึ่งพระองค์ได้เป็นกษัตริย์ของอิตาลีที่มหาวิหารนี่เอง หลังจากนั้นมหาวิหารก็ได้รับการปรับปรุงส่วนของกระจกสีให้สดใสงดงามมากขึ้น การปรับปรุงด้านหน้าครั้งใหญ่ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 สำเร็จสมบูรณ์ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2009
นักท่องเที่ยวที่มีโอกาสไปเยือนมหาวิหารแห่งนี้ไม่เพียงแต่สามารถถ่ายรูปด้านนอก และเข้าไปในอาคารที่มีกระจกสีสวยงาม ยังสามารถขึ้นไปเดินบนหลังคาซึ่งถือเป็นไฮไลท์หนึ่งของการเยี่ยมเยือนมิลานด้วย ส่วนนักท่องเที่ยวที่ไปเยือนมิลานหลังปี 2009 จะพบว่าอาคารมหาวิหารสะอาดสะอ้านมากโดยเฉพาะส่วน Madonna ที่ตรงตำแหน่งสูงสุดมีสีทองอร่ามแจ่มชัดแม้ในวันที่มิลานมีหมอกด้วยซํ้า สมกับเป็นความภาคภูมิใจของชาวมิลานและอิตาเลียนจริง ๆ
มองจากห้างฝั่งตรงข้าม
หลังคาที่เดินได้
ด้านข้าง
Madonna
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี