วันศุกร์ ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2568
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทาน “รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี 2558” ให้แก่ เซอร์ไมเคิล กิเดียน มาร์มอต ผู้ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล สาขาการสาธารณสุข ประจำปี 2558
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปในการพระราชทาน “รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี 2558” ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง และพระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำแสดงความยินดีแก่ผู้ได้รับรางวัล พร้อมคู่สมรส ณ พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 28 มกราคม ที่ผ่านมา
ในปีนี้มีผู้ได้รับการเสนอชื่อเพื่อรับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี 2558 จำนวน 51 ราย จาก 19 ประเทศ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ สาขาการแพทย์ และ สาขาการสาธารณสุข โดยผู้ที่ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล สาขาการแพทย์ ประจำปี 2558 ได้แก่ ศาสตราจารย์นายแพทย์มอร์ตัน เอ็ม มาวเวอร์ ผู้ร่วมคิดค้นเครื่องกระตุ้นหัวใจอัตโนมัติชนิดฝังในร่างกาย หรือเอไอซีดีและเป็นผู้คิดค้นหลักของเครื่องรักษาหัวใจด้วยวิธีให้จังหวะ หรือซีอาร์ที ส่วนผู้ที่ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล สาขาการสาธารณสุขประจำปี 2558 ได้แก่ เซอร์ไมเคิล กิเดียน มาร์มอตเป็นบุคคลที่มีผลงานสำคัญด้านการศึกษาวิจัยระบาดวิทยาอย่างเป็นระบบมานานกว่า 35 ปี
ในการนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำรัสแก่ผู้เข้ารับพระราชทานรางวัลทั้ง 2 ท่าน ว่า “การสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์ และการสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็นการประดิษฐ์คิดค้นอุปกรณ์ และเทคโนโลยี หรือการค้นพบแนวทางใหม่ๆ ในการแก้ไขปัญหาสุขภาพก็ตาม เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่ทำให้มนุษยชาติเจริญก้าวหน้าไปโดยไม่หยุดยั้งเพราะนวัตกรรมต่างๆ ได้ช่วยให้มนุษย์เราสามารถดูแลสร้างเสริมสุขภาพอนามัยและบำบัดรักษาโรคภัยได้สำเร็จ อันเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
ตลอดจนพัฒนาความรู้ทางการแพทย์ และการสาธารณสุขให้งอกงามไพศาล การที่ศาสตราจารย์นายแพทย์มอร์ตัน เอ็ม มาวเวอร์ ได้ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องกระตุ้นหัวใจอัตโนมัติชนิดฝังในร่างกาย ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคหัวใจ และเซอร์ไมเคิล กิเดียน มาร์มอต ได้เสนอหลักปัจจัยทางสังคมที่มีผลต่อสุขภาพ ซึ่งเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาสุขภาพอนามัย เพื่อให้ประชากรในประเทศต่างๆ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นนั้น นับเป็นการสร้างเสริมความเจริญก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ของการแพทย์ และการสาธารณสุข รวมทั้งความก้าวหน้ารุ่งเรืองของมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง”
ศาสตราจารย์นายแพทย์มอร์ตันเอ็ม มาวเวอร์ ศาสตราจารย์อายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ เมืองบัลติมอร์ และศาสตราจารย์สรีรวิทยาและชีวฟิสิกส์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยโฮเวอร์ด กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ผู้ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล สาขาการแพทย์ ประจำปี 2558 ร่วมคิดค้นเครื่องกระตุ้นหัวใจอัตโนมัติชนิดฝังในร่างกาย หรือเอไอซีดี(AICD: Automatic Implantable Cardioverter Defibrillator) และเป็นผู้คิดค้นหลักของเครื่องรักษาหัวใจด้วยวิธีให้จังหวะ หรือซีอาร์ที (CRT: Cardiac Resynchronization Therapy)
ขณะทำการวิจัยโครงการยาหลอดเลือดหัวใจ ณ โรงพยาบาลไซนาย เมืองบัลติมอร์ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ.2512 ได้ร่วมกับนายแพทย์มิเชล มิโรวสกี แพทย์ชาวอิสราเอล คิดค้นเครื่องกระตุ้นหัวใจอัตโนมัติชนิดฝังในร่างกาย ซึ่งเป็นเทคโนโลยี และอุปกรณ์สำคัญในการช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจห้องล่างเต้นผิดปกติชนิดวีเอฟ (ventricular fibrillation) และวีที (ventricular tachycardie) ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตอย่างเฉียบพลันในผู้ป่วยโรคหัวใจได้
แนวคิดนี้ เริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ.2512 และมีการฝังเข้าในตัวผู้ป่วยเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2523 ต่อมาได้รับการอนุมัติให้ใช้ได้โดยองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ.2527 การศึกษาทางคลินิกในหลายสถาบัน พบว่าอุปกรณ์ดังกล่าวสามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจห้องล่างเต้นผิดปรกติในผู้ป่วยโรคหัวใจได้ดีกว่าการรักษาด้วยยาเพียงอย่างเดียว ปัจจุบันมีการฝังอุปกรณ์นี้ประมาณ ปีละ 200,000 คน และมีผู้ใช้อุปกรณ์นี้แล้วประมาณ 2-3 ล้านคนทั่วโลกมีประสิทธิภาพในการแก้ไขความผิดปกติของการเต้นหัวใจสูง ช่วยชีวิตผู้ป่วยได้มาก รวมถึงช่วยให้ผู้ป่วยที่รอดชีวิตมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นด้วย
เซอร์ไมเคิล กิเดียน มาร์มอตผู้อำนวยการสถาบันความเป็นธรรมด้านสุขภาพ ศาสตราจารย์ระบาดวิทยาและสาธารณสุข ยูนิเวอร์ซิตี้คอลเลจลอนดอน มหาวิทยาลัยลอนดอน สหราชอาณาจักร และนายกแพทยสมาคมโลก ผู้ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล สาขาการสาธารณสุข ประจำปี 2558 มีผลงานสำคัญด้านการศึกษาวิจัยระบาดวิทยาอย่างเป็นระบบมานานกว่า 35 ปี โดยเน้นเกี่ยวกับบทบาทเชื้อชาติ วิถีการดำเนินชีวิต เศรษฐานะ ความไม่เท่าเทียมกัน ปัจจัยทางสังคม และสิ่งแวดล้อม ที่มีต่อสุขภาวะ ความอายุยืน และโอกาสในการเกิดโรคของประชากรในหลายประเทศทั่วโลก
รวมถึงเสนอแนวทางการแก้ไขด้วยหลักปัจจัยทางสังคมที่มีผลต่อคุณภาพ ซึ่งเป็นการประเมินปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ การป้องกันโรค และการสร้างเสริมพัฒนาศักยภาพของคนอย่างยั่งยืน ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยชรารวมถึงการคำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ชุมชนอาชีพ และรายได้ ซึ่งรัฐบาลของประเทศอังกฤษได้นำองค์ความรู้นี้ไปพัฒนาประเทศ และได้กระจายออกไปอย่างกว้างขวางในทวีปยุโรป ต่อมาองค์การอนามัยโลกได้นำแนวคิดนี้ไปวางแผนกลยุทธ์เป็นนโยบายสาธารณะ มีผลต่อแนวทางปฏิบัติด้านสุขภาพทั่วโลก ส่งเสริมให้ประชากรมีสุขภาวะที่ดี ลดช่องว่างความไม่เท่าเทียมกันทางสุขภาพ สร้างความเป็นธรรมด้านสุขภาพ เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอนามัยของมวลมนุษย์หลายร้อยล้านคนทั่วโลก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี