เนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ 84 พรรษา วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2559 พิพิธภัณฑ์ผ้า ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (Queen Sirikit Museum of Textiles-QSMT) ได้จัดกิจกรรมเสวนาเรื่อง “กว่าจะเป็นโขนพระราชทาน” ซึ่งเป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งของงาน QSMT Celebration ที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองปีมหามงคลนี้
กิจกรรมเสวนาครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากวิทยากรรับเชิญผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญด้านผ้าไทยและเครื่องแต่งกายโขน ได้แก่ ดร.อนุชา ทีรคานนท์ และ ดร.สุรัตน์ จงดา ร่วมให้ความรู้พร้อมประกอบการแต่งกายด้วยเครื่องโขน ณ ห้องประชุม พิพิธภัณฑ์ผ้า ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ดร.อนุชา ทีรคานนท์
ดร.สุรัตน์ จงดา
ดร.อนุชา ทีรคานนท์ ที่ปรึกษาพิพิธภัณฑ์ผ้า ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กล่าวว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถสนพระราชหฤทัยงานด้านศิลปวัฒนธรรมอันเป็นรากเหง้าที่สำคัญของชาติ หนึ่งในนั้นคือ นาฏกรรมโขน ซึ่งมีพระราชประสงค์ให้อนุรักษ์และสืบสานอยู่คู่แผ่นดินไทย ดังพระราชปรารภที่ว่า “ทุกวันนี้ประชาชนชาวไทย ไม่ใคร่มีโอกาสได้ชมโขน เนื่องจากการจัดแสดงโขนแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย” จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประชุมผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโขน และงานหัตถศิลป์แขนงต่างๆ เพื่อรื้อฟื้นการแสดงโขนตามโบราณราชประเพณี เริ่มต้นจากการจัดสร้างเครื่องแต่งกายโขนขึ้นใหม่ สำหรับใช้ในการแสดงโขนพระราชทาน ทรงกำชับให้ยึดถือรูปแบบเครื่องแต่งกายโขนแบบโบราณ แต่มีความคงทนและสวยงามยิ่งขึ้น
“ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปี ที่ได้ทำงานสนองพระราชเสาวนีย์ในเรื่องโขน ต้องถือว่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีสายพระเนตรที่ยาวไกลมากในการนำโขนมาสู่สังคมไทยอีกครั้งหนึ่ง เพราะการฟื้นฟูโขนนั้น ไม่ใช่แค่การฟื้นฟูนาฏศิลป์ แต่เป็นการพลิกฟื้นฝีมือช่างหัตถศิลป์หลายแขนง หลายสาขาที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านงานประณีตศิลป์ของไทยนับร้อยคนให้คืนกลับมา ทั้งยังทำให้เกิดสกุลช่างในรัชกาลปัจจุบันในเรื่องของพัสตราภรณ์หรือเครื่องแต่งกาย มี อ.วีรธรรม ตระกูลเงินไทย เป็นผู้ควบคุมดูแลเรื่องการออกแบบ และดูแลช่างที่เป็นสมาชิกของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ที่ช่วยกันตัดเย็บเครื่องแต่งกายและทอผ้าเพื่อใช้การแสดงโขนโดยเฉพาะ”
(กลาง) ณัฏฐวรรณ ตันหยงมาศ รองผอ.ฝ่ายบริหาร
และพัฒนาพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ
ดร.อนุชา ได้กล่าวอีกว่า รามเกียรติ์กับงานวิจิตรศิลป์นั้นได้หลอมรวมกันในงานแสดงโขน โดยวรรณกรรมรามเกียรติ์ ซึ่งปรากฏทั้งในงานจิตรกรรมบริเวณระเบียงพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) และงานประติมากรรมที่ประกอบรอบพระอุโบสถและพระอาราม ไม่ว่าจะเป็นสัดส่วนของประติมากรรม เครื่องแต่งกายที่ประกอบ รวมทั้งการใช้สี ล้วนมีความเกี่ยวเนื่องกับการแสดงโขนและเป็นต้นแบบที่นำมาใช้ในการฟื้นฟูโขนในเวลาต่อมา
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญของเครื่องโขนคือ สัดส่วนที่ลงตัว ดังนั้น โขนพระราชทานจึงมีพัสตราภรณ์ หรือเครื่องแต่งกายที่แตกต่างไปจากพัสตราภรณ์ของโขนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น อินทรธนู ห้อยหน้า ห้อยข้าง รวมทั้งความกว้างของผ้าสนับเพลาต่างๆ ที่สร้างความแตกต่างของสุนทรียภาพ ตลอดจนองค์ประกอบของถนิมพิมพาภรณ์ต่างๆ ที่ล้วนได้รับแรงบันดาลใจมาจากพระเครื่องต้นของพระมหากษัตริย์ รวมถึงความรุ่มรวยของสีไทย ที่มิได้มีเพียงสีเขียว แดง เหลือง แต่ยังมีสีอื่นๆ ที่เป็นสีหลักและสีรอง ในการออกแบบ
พัสตราภรณ์เครื่องโขนพระราชทาน ทำให้เกิดความรุ่มรวยของสีและการผสมผสานของสีที่ละลานตาอยู่บนเวที ทำให้เกิดเป็นความงามที่แปลกตาออกไป จึงทำให้ผู้ที่ได้ชมโขนพระราชทานได้ซึมซับทั้งในเรื่องฉากพัสตราภรณ์ ระบบสีไทย ไปพร้อมกัน
ถนิมพิมพาภรณ์
ปัจจุบันโขนได้กลายเป็นสิ่งที่เชื่อมคนในยุคสมัยต่างๆ และสร้างความสัมพันธ์อันดีของครอบครัวในสังคมไทย ปีนี้จะมีการเสนอ “โขน”ให้เป็นมรดกโลก สาขามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ เพื่อให้โขนได้เป็นที่รู้จักในระดับสากล ซึ่งโขนคือรสชาติแบบไทยๆ ที่บรรพบุรุษของเราพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน และด้วยพระบารมีของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทำให้คนไทยสามารถอวดอ้างกับทั่วโลกได้ว่า มีความงามแบบไทยที่มาหลอมรวมอยู่ในงานแสดงโขนและพร้อมให้ผู้คนทั่วโลกได้ชื่นชมเฉกเช่นในวันนี้
ดร.สุรัตน์ จงดา ศิลปินและครูนาฏศิลป์กล่าวว่า โขนมิใช่เป็นเพียงการแสดงที่ดูสนุกเพียงเท่านั้น แต่เป็นการสร้างงานศิลปะให้อยู่คู่กับแผ่นดิน พร้อมย้อนความเป็นมากว่าจะเป็นโขนพระราชทาน ว่า “หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 โขนที่เคยเป็นเครื่องราชูปโภคของพระมหากษัตริย์ ได้โอนย้ายไปอยู่ในความดูแลของกรมศิลปากร ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาลคณะราษฎร ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายจากการโอนย้ายข้าราชการกองมหรสพ กรมวังนอก ไปอยู่กรมศิลปากรทั้งหมด รวมทั้งให้ฝึกเล่นดนตรีสากลตามรัฐนิยมใหม่ ซึ่งบางส่วนก็ได้ลาออกไปประกอบอาชีพอื่นๆ เช่น ครูลิเก เป็นต้น
“การแสดงโขนนั้น เป็นหนึ่งในการแสดงเพื่อต้อนรับพระราชอาคันตุกะเป็นประจำทุกปี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้กราบบังคมทูลสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถถึงสถานการณ์การแสดงโขน ซึ่งทุกวันนี้มีคนชมน้อยลงทุกทีและหานักแสดงโขนได้ยาก สมเด็จพระบรมราชินีนาถจึงทรงรับสั่งว่า “ถ้าไม่มีใครดู แม่จะดูเอง” และทรงนำการแสดงโขนไปแสดงเพื่อเป็นการขอบคุณ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พ่อค้า ประชาชน ในโอกาสเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปสถานที่ต่างๆ อีกทั้งพระราชทานเงินจำนวน 3 แสนบาท ให้กรมศิลปากรนำไปจัดสร้างเครื่องแต่งกายโขนตามแนวพระราชดำริ เพื่อปรับปรุงให้เครื่องแต่งกายโขนมีความงดงามประณีตมากยิ่งขึ้น ใน พ.ศ.2547 มีพระราชเสาวนีย์ให้ฟื้นฟูการแสดงโขน และในปีนั้นกรมศิลปากรได้ทำนิทรรศการเรื่องเครื่องแต่งกายโขน ตามพระราชเสาวนีย์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ”
สาธิตการแต่งกายด้วยพัสตราภรณ์ ถนิมพิมพาภรณ์ ศิราภรณ์ เครื่องโขน
ดร.สุรัตน์ กล่าวด้วยว่า ด้วยระบบราชการที่ต้องมีขั้นตอนการดำเนินการต่างๆ ที่ต้องใช้ระยะเวลา ดังนั้น อ.สมิทธิ ศิริภัทร์ ที่ปรึกษาส่วนพระองค์ด้านศิลปะของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จึงได้ทรงขอพระราชทานพระราชานุญาตสร้างเครื่องแต่งกายโขนของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ซึ่งเป็นการสร้างอาชีพอีกทางหนึ่ง เมื่อได้รับพระราชทานพระราชานุญาต จึงเริ่มดำเนินการในปีพ.ศ.2549 ได้เริ่มตั้งคณะกรรมการเรื่องแนวทางสร้างเครื่องแต่งกายโขนขึ้นมาใหม่ และกำหนดแนวทางการแสดงเฉลิมพระเกียรติ ตอนพรหมาศ ประกอบวงแตรวงจากกองทัพบก เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในงานเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษาใน พ.ศ.2550
“ต่อมาใน พ.ศ.2549 เริ่มมีการออกแบบฉาก ซึ่ง อ.สมิทธิ ได้เชิญ อ.สุดสาคร มาออกแบบฉากตอนพรหมาศ ส่วน อ.วีรธรรม ตระกูลเงินไทย เป็นผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย และเริ่มฝึกซ้อมการแสดงโดยมีเวลาซ้อมเพียง 2 สัปดาห์ ก่อนทำการแสดงครั้งแรกในเดือนธันวาคม พ.ศ.2550 ซึ่งจัดแสดงเพียง 3 รอบ โดยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จฯไปทอดพระเนตรเป็นปฐมฤกษ์
“จากนั้นหยุดการแสดงใน พ.ศ.2551 เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สิ้นพระชนม์ ปีต่อมาจึงได้จัดแสดงโขนตอนพรหมาศ ฉบับปรับปรุงใหม่ เป็นครั้งที่ 2 โดยมีวงดนตรีสากล และวงดนตรีไทยเล่นประกอบโขน จัดแสดง 6 รอบต่อมาได้มีการเพิ่มรอบในภายหลังตามคำเรียกร้องของผู้ชม และในเดือนสิงหาคมปีเดียวกันนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯไปทรงเปิดนิทรรศการโขนพระราชทาน ในงานเปิดหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร และเป็นครั้งแรกที่ได้พระราชทานการแสดงโขนในปีต่อไปคือ ตอนนางลอยจึงเป็นที่มาของการเปลี่ยนชื่อจากโขนเฉลิมพระเกียรติ เป็น “โขนพระราชทาน”อันเป็นการแสดงที่พระราชทานลงมาให้แก่ปวงชนชาวไทยได้ชมนั่นเอง
การแสดงโขนพระราชทาน
“สำหรับตอนนางลอยนั้น ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง โดยมีการจัดแสดงถึง 2 ช่วง ในเดือนมิถุนายนและพฤศจิกายน พ.ศ.2553 ทั้งยังเป็นปีแรกที่เปิดคัดเลือกนักแสดงรุ่นใหม่ รวมทั้งเริ่มมีการสร้างฉากที่วิจิตรตระการตา และเพิ่มเทคนิคต่างๆ เพื่อดึงดูดใจผู้ชมมากขึ้น และการแสดงโขนพระราชทานที่จัดต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีนั้นได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากประชาชนจนต้องเพิ่มรอบการแสดงขึ้นทุกปี ใน พ.ศ.2554 มีการแสดงโขนพระราชทาน ชุดศึกมัยราพณ์ ต่อมามีการแสดงโขนพระราชทาน
ชุดจองถนน ใน พ.ศ.2555 การแสดงโขนพระราชทาน ชุดศึกกุมภกรรณตอนโมกขศักดิ์ ใน พ.ศ.2556 การแสดงโขนพระราชทานชุด ศึกอินทรชิต ตอนนาคบาศ ใน พ.ศ. 2557 และการแสดงโขนพระราชทาน ชุดศึกอินทรชิต ตอนพรหมาศ ใน พ.ศ.2558”
ก่อนจบการเสวนา ดร.อนุชา ได้กล่าวถึงรายละเอียดของนิทรรศการเครื่องโขน ที่จะจัดขึ้นในห้องจัดแสดงที่ 3 และห้องจัดแสดงที่ 4 ณ พิพิธภัณฑ์ผ้าฯ ในเดือนมิถุนายน 2559 ที่จะถึงนี้ว่า “เรื่องราวทั้งหลายนี้จะถ่ายทอดผ่านนิทรรศการเครื่องโขน ซึ่งจะมีการนำเสนอในรูปแบบใหม่ โดยจัดแสดงชุดสะสมส่วนบุคคลของผู้ที่เชี่ยวชาญด้านโขน รวมทั้งมีการใช้สื่อกึ่งมัลติมีเดียต่างๆ ที่จะทำให้เยาวชนคนรุ่นใหม่เข้าใจโขนได้ง่ายขึ้น รวมทั้งมีการนำเสื้อผ้าอาภรณ์รวมทั้งพัสตราภรณ์ของหลวงที่เก็บรักษามาเป็นระยะเวลาหลายร้อยปีนำมาจัดแสดงควบคู่ เพื่อให้เห็นถึงวิวัฒนาการเครื่องแต่งกายโขนนั้นมีที่มาจากเครื่องต้น ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายของพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ในเวลาที่มีพระราชพิธีต่างๆ นั่นเอง”
สำหรับผู้สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมครั้งต่อไป ติดตามรายละเอียดกิจกรรมได้ที่ เฟซบุ๊ค www.facebook.com/qsmtthailand อินสตาแกรม @queensirikitmuseumoftextiles
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี