วันอังคาร ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2568
❛...การโค้ช ก็คือการจัดระเบียบจิตใต้สำนึก กำจัดสิ่งที่เป็นปมออกไป พร้อมกับการสร้างแรงบันดาลใจ ความเชื่อมั่น
ให้กับตนเอง...❛
นับแต่วัยเด็กของ เรย่า-รัชยา นิลกรรณ์ ถูกบันทึกเต็มสมองไปด้วยคำว่า “ดีที่สุด” นับตั้งแต่การเรียน จนถึงการทำงาน และเธอก็เป็นที่หนึ่งมาโดยตลอด ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 5 ของนักธุรกิจไทยในออสเตรเลียที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุไม่ถึง 30 ปี เป็นภรรยาและเป็นแม่ของลูกๆ 4 คน ชีวิตที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์เพียบพร้อมแต่แล้วก็มีพายุลูกใหญ่ซัดเข้าใส่ผู้หญิงคนนี้ให้ล้มทั้งยืน จนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ด้วยอาการเจ็บป่วยที่แม้แต่แพทย์ออสซี่ก็ยังไม่สามารถหาวิธีการรักษาได้ ในช่วงเวลาเกือบ 5 ปีที่ผ่านมา เธอสามารถรอดพ้นวิกฤติชีวิตมาได้อย่างไร วันนี้เธอมาบอกเล่าเพื่อช่วยเตือนสติให้กับผู้อ่าน “ผู้หญิงแนวหน้า” ไม่ใช้ชีวิต “ประมาท” เช่นเธอที่ผ่านมา
“เรย่า ถูกคาดหวังจากครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความรักคุณพ่อ-คุณแม่ ท่านอยากเห็นเราประสบความสำเร็จทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน เรย่าก็ทำให้คุณพ่อ-คุณแม่ได้ดั่งใจ ส่วนหนึ่งคือเรย่าคิดว่าถ้าเราทำได้ เรียนได้เกรดดีๆ ได้ที่หนึ่งท่านจะมีความสุข ท่านจะภูมิใจในตัวเรา และอีกส่วนหนึ่งคือ เราเองที่อยากได้ยินคำชื่นชมจากพ่อ-แม่ และคนรอบข้าง พอมาทำงานเปิดบริษัทรับทำบัญชี
ที่ออสเตรเลีย เราก็ประสบความสำเร็จอีก เรย่ากล้าพูดว่าตัวเองเป็นเซเลบฯคนหนึ่งเลยนะ ไปไหนมาไหนมีคนรู้จัก”
จุดเปลี่ยนของชีวิตเริ่มต้นขึ้นเมื่อตอนที่เธอคลอดลูกคนที่ 3 ขณะนั้นอายุเพียง 29 ปี จากสาวสวยหุ่นเพรียว ดีกรี MC ของรถยุโรปยี่ห้อสุดหรูในงานมอเตอร์โชว์ ปี 1997 และนางแบบสมัครเล่น น้ำหนักเธอพุ่งขึ้นไปเกือบร้อย พยายามทุกหนทางที่จะลดน้ำหนัก ทั้งใช้ยาลดความอ้วน ออกกำลังกาย แต่ไม่ทำให้เธอกลับไปผอมเพรียวได้อีกครั้ง หนักสุดเมื่อคลอดลูกคนที่ 4 น้ำหนักหลังคลอดทะยานไปเกินร้อย มีอาการอ่อนแรง ชาครึ่งซีก วูบเป็นบางครั้งถึงขั้นหมดสติ แต่ด้วยธุรกิจที่กำลังเติบโต เรย่ายังคงทุ่มเททำงานตั้งแต่เช้าจนดึก อาการหนักเข้าต้องนอนเฉยๆ อยู่บนเตียงแต่ปากก็ยังสั่งงานลูกน้องต่อไป
“ไม่ได้คิดว่าตัวเองป่วย แต่ไปหาหมอ หมอที่โน่นเขาก็รักษาไปตามอาการที่เป็น แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเราป่วยเป็นอะไร เชื่อไหมค่ะว่าจากผิวที่เต่งตึง มันเหี่ยวย่นไปหมดทั้งๆ ที่อ้วน หมอหาสาเหตุไม่ได้ อายุ 30 ปี แต่สภาพร่างกายเหมือนคนอายุ 70 ปี ผิวหนังไม่มีคอลลาเจน ผมร่วงแทบหมดหัว ท้อแท้มากจากหน้าตาที่เคยสวยๆ ไปไหนมาไหนคนก็ขอถ่ายรูปด้วย กลายเป็นว่าใครเห็นก็เบือนหน้าหนี รับตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ท้อแท้มากจนมีวันหนึ่งนอนอยู่บนเตียง ก็คิดว่าเราจะตายไปแบบนี้เหรอ หมอบอกรักษาไม่ได้ เราจะยอมแพ้เหรอแต่ข้อดีอย่างหนึ่งที่เราถูกปลูกฝังให้สู้มาตั้งแต่เด็ก และคุณพ่อก็สอนเสมอว่าทุกปัญหาเราแก้ได้ก็คิดว่าเราจะทำอย่างไรคือ ถ้าไม่หายป่วยแต่จะทำอย่างไรให้อยู่กับมันได้อย่างมีความสุข ชีวิตเราต้องมีความหวังสิ ถ้าไม่มีความหวังมันก็จบ”
ความหวังของชีวิตจุดประกายขึ้นอีกครั้งเมื่อเธอได้พบกับ Neuro-Linguistic Programming หรือ ศาสตร์จิตใต้สำนึก ทำให้เธอรู้ว่าที่ผ่านมาเธอใช้ชีวิตแบบสุดโต่ง ทุกอย่างต้องดีที่สุดทำงานแบบสุดโต่ง จนร่างกายเกิดการประท้วงเป็นอาการเจ็บป่วย และศาสตร์นี้ทำให้เธอรู้จักกระบวนการที่จะปรับเปลี่ยนคุณภาพชีวิตตัวเอง สร้างความหวังและแรงบันดาลใจให้ตัวเอง
“พอรู้ตรงนั้น เรย่าตัดสินใจพักงาน บอกกับครอบครัวว่าขอมาพักผ่อนที่เมืองไทย จากการเรียนศาสตร์จิตใต้สำนึก ทำให้เรย่าเชื่อมั่นว่าทุกอย่างมันต้องดีขึ้น เราต้องคิดแต่สิ่งดีๆ สุดท้ายเรย่าก็ได้เจอกับหมอคนไทยที่เก่งมาก จากอาการที่เป็น หมอที่ออสเตรเลียบอกไม่ได้ว่าเราเป็นอะไร แต่พอที่เมืองไทยคุณหมอเช็คจนเจอสาเหตุของโรคคือ เรย่ามีภาวะดื้ออินซูลิน คือร่างกายเกิดความเครียดอย่างรุนแรง จนไม่รับสารอาหารดีๆ เมื่อตับผลิตอินซูลินจนมากเกินไปแล้วไม่นำไปใช้ในกระบวนการย่อย มันก็เปลี่ยนเป็นแฟตฮอร์โมน ก็ทำให้เราอ้วน คือ อดอาหาร กินยาลดน้ำหนัก ออกกำลังกายแค่ไหนก็ไม่ผอม ตรวจเจอเม็ดเลือดขาว
ผิดปกติ เซลล์ของร่างกายเกิดการล้าและไม่ตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น ก็ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เส้นประสาทส่วนอื่นเสียหายหมดเลย ก็เข้ารักษาอยู่ในการดูแลของแพทย์ ตอนนี้น้ำหนักลงมาอยู่ที่ 60 กิโลกรัมนิดๆ ไม่ต้องกินยาแล้วอยู่ในช่วงการฟื้นฟูโรค ผิวพรรณก็ดีขึ้นมาก จากที่เคยต้องฉีดโบท็อกซ์ทุกสองสัปดาห์ ร้อยไหมทุกเดือนก็ไม่ต้องทำแล้ว อันนี้ต้องยอมรับความสามารถของแพทย์ไทยจริงๆ”
ไม่เพียงแต่เป็นผู้เรียนเพื่อนำมาใช้แก้ปัญหาวิกฤติชีวิต แต่ด้วยความที่เป็นคนทำอะไรแล้วต้องรู้ให้จริง เรย่าจึงได้ศึกษา Neuro-Linguistic Programming, Hypnotherapy, Timeline Therapy จนจบระดับสูงสุดได้รับประกาศนียบัตรจาก Neuro-MInd Coaching Australia รับรองโดย American Board Of NLP พร้อมใบอนุญาตในการเป็น โค้ชจิตใต้สำนึก และสามารถสอนหลักสูตรนี้ได้อีกด้วย
“ในการเป็นโค้ชจิตใต้สำนึก เรย่าจะให้หลักโหราศาสตร์มาใช้ควบคู่ด้วย เพื่อให้รู้ว่าในอดีตของคนคนนั้นเป็นมาอย่างไร จากพื้นดวงอะไรที่เป็นจุดดีจุดด้อย จากนั้นจะเป็นการทำ Timeline Therapy ก็คือการสะกดจิต เพื่อดึงสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใต้สำนึก ซึ่งก็คือปมหรือสิ่งที่ค้างคาใจ จนกลายเป็นอุปสรรค หรือส่งผลต่อจิตใจของเรา แต่เราไม่รู้ตัวพอดึงจุดนี้ออกมาได้ก็จะเข้าสู่การโค้ช ก็คือการจัดระเบียบจิตใต้สำนึก กำจัดสิ่งที่เป็นปมออกไป พร้อมกับการสร้างแรงบันดาลใจ ความเชื่อมั่นให้กับตนเอง ก็คือการนำสิ่งดีๆ เข้ามา แต่เราต้องเชื่อมั่นก่อนว่าเราทำได้ เพราะปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นจากตัวเรา ตัวเราเท่านั้นที่จะเป็นผู้แก้ไข เพราะตัวเรย่าเองผ่านตรงนั้นมาแล้ว พิสูจน์มาแล้วด้วยตัวเอง จึงอยากนำมาเผยแพร่ต่อ จึงได้ไปเรียนอย่างจริงจังเพื่อมาเป็นไลฟ์โค้ช”
แม้วันนี้ยังไม่หายขาดจากโรคเป็นอยู่แต่สิ่งที่เธอได้กลับมาคือ การเรียนรู้วิธีเดินบนทางสายกลาง “มัชฌิมาปฏิปทา” ตามคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อสร้างความสมดุลให้กับชีวิต ซึ่งเป็นหนทางสร้าง “ความสุข” ที่ยั่งยืนนั่นเอง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี