การเผยแพร่ความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรม
วันที่ 27 มีนาคมนี้ เป็นวันครบรอบ 105 ปีของกรมศิลปากร หน่วยงานหลักของรัฐที่รับผิดชอบการทำนุบำรุงรักษา อนุรักษ์ ฟื้นฟู ส่งเสริม สร้างสรรค์ และสืบทอดมรดกวัฒนธรรมของชาติ โดยถือเอาวันที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงสถาปนากรมศิลปากรขึ้นเมื่อวันที่ 27 มีนาคม พุทธศักราช 2454 โดยทรงรวมงานช่างประณีตศิลป์จากกรมโยธากระทรวงโยธาธิการ กับกรมพิพิธภัณฑ์ กระทรวงธรรมการเข้าด้วยกันแล้วตั้งเป็น กรมศิลปากร และมีผู้บัญชาการกรมขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ต่อมาโปรดให้โอนกิจการของกรมช่างมหาดเล็ก กระทรวงวัง มารวมอยู่ในกรมศิลปากรด้วย ทำให้กรมศิลปากรนั้นเป็นหน่วยงานที่ปฏิบัติงานช่างต่างๆ ซึ่งมีช่างประณีตศิลป์ หรือช่างสิบหมู่ และงานก่อสร้าง หรืองานสถาปัตย์ จนพูดได้ว่าช่างกรมศิลปากรนี้ คือช่างหลวงที่ปฏิบัติงานสนองพระยุคลบาทในการผดุงรักษา และสร้างสรรค์ศิลปกรรมของชาติ ภายหลังได้มีการรวมกิจการของกรมศิลปากรกับหอพระสมุดสำหรับพระนครเป็นราชบัณฑิตยสภา จนถึงพ.ศ.2476 จึงมีพระราชบัญญัติจัดตั้งกรมศิลปากรขึ้นอีกครั้ง โดยรวมงานด้านนาฏศิลป์และดนตรีในราชสำนัก ซึ่งสังกัดกรมต่างๆ เช่น กรมโขน กรมหุ่นกรมรำโคม กรมปี่พาทย์ กรมแตรสังข์ ที่เรียกว่า กรมมหรสพ สังกัดกรมมหาดเล็ก กระทรวงวัง นั้นมาเป็นกองสังคีต กรมศิลปากร จึงทำให้กรมศิลปากรมีหน้าที่ดูแลควบคุมงานทั้งด้านศิลปะ และวิทยาการของชาติโดยสมบูรณ์ แม้ว่ากรมศิลปากรจะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการแบ่งส่วนราชการอยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังมีหน้าที่ผดุงรักษาและสืบทอดมรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติมาอย่างต่อเนื่องไม่เปลี่ยน ปัจจุบันนี้กรมศิลปากรมีสถานภาพเป็นปึกแผ่นมั่นคง มีหน่วยงานครอบคลุมทั้งส่วนกลางและภูมิภาค รวมทั้งได้พยายามส่งเสริมให้ภาคเอกชน และประชาชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาศิลปวัฒนธรรมของชาติ ทำให้กรมศิลปากรมีเครือข่าย และผู้สนับสนุนกิจการของกรมศิลปากรเพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันกรมศิลปากรก็ได้สร้างโอกาสให้ชุมชนและท้องถิ่น สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจจากงานมรดกศิลปวัฒนธรรมอย่างมีหลักการบนความถูกต้อง เพื่อสร้างความยั่งยืน ที่สามารถรักษาคุณค่ามรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติให้สืบต่อและเผยแพร่ไปยังนานาประเทศจนเป็นที่รู้จักกันในประชาคมโลกและประชาคมอาเซียน การปรับบทบาทตามนโยบายประเทศนั้นกรมศิลปากรได้เพิ่มขีดความสามารถนำผลงานในภารกิจที่เกิดจากการทำนุบำรุงรักษา อนุรักษ์ ฟื้นฟู มาโดยตลอดเพื่อนำมาส่งเสริม สร้างสรรค์ต่อยอดให้เกิดประโยชน์ในแง่เศรษฐกิจแก่ชุมชนใกล้เคียงมรดกศิลปวัฒนธรรมต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม อันจะก่อให้เกิดการศึกษาเรียนรู้ และสร้างให้เกิดทั้งภูมิคุ้มกัน และภูมิปัญญาในการอนุรักษ์และสร้างสรรค์มรดกศิลปวัฒนธรรมให้มีคุณค่าต่อชุมชนตลอดไป เกิดการอนุรักษ์และสืบทอดมรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติให้คงอยู่อย่างยั่งยืนและมีคุณค่ามากขึ้น จากปัญหาที่มีบุคลากรจำกัด ทำให้การสืบทอดงานศิลปวัฒนธรรมหลายสาขาขาดแคลนช่างฝีมือและผู้เชี่ยวชาญ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงแข่งขันทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ทำให้งานด้านการอนุรักษ์มรดกศิลปวัฒนธรรมถูกละเลยทอดทิ้ง จึงประสบปัญหาในการดูแลรักษา อนุรักษ์โบราณสถาน โบราณวัตถุ พิพิธภัณฑ์และงานช่างทั้งปวง รวมทั้งงานหอสมุดแห่งชาติ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญของชาติ ดังนั้นแนวทางการดำเนินงานจึงได้มุ่งให้ประชาชนเห็นคุณค่า และมีความรู้สึกเป็นเจ้าของมรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติร่วมกัน โดยเฉพาะการเรียนรู้และให้เข้าใจถึงงานบนหลักวิชาการที่ถูกต้อง และพัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการมรดกศิลปวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน ทั้งการเรียนรู้จากโลกกว้างในนานาประเทศ และการจ้างผู้เชี่ยวชาญมาถ่ายทอดความรู้ให้สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับได้เปิดโอกาสให้ประชาชน และท้องถิ่นนั้นเข้ามามีส่วนร่วมในงานทำนุบำรุงรักษา และอนุรักษ์มรดกศิลปวัฒนธรรมด้วยกันมากขึ้น
กรมศิลปากร
อนันต์ ชูโชติ ประกาศแนวทางใหม่
การจัดพิพิธภัณฑ์ในท้องถิ่น
การจัดแสดงโบราณวัตถุชิ้นสำคัญ
งานสืบทอดนาฏศิลป์จากราชสำนัก
การเรียนรู้ในพิพิธภัณฑ์
นักเรียนเรียนรู้จากโบราณวัตถุ
โบราณวัตถุของพื้นที่
งานอนุรักษ์ภาพเขียนสี
ภาพเขียนสีที่ซ่อนอยู่ตามป่าเขา
อุทยานประวัติศาสตร์
โบราณสถานที่ได้รับการขุดแต่ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี