นักโบราณคดีกัมพูชานำชม
กาลเวลาและสงครามในอดีตนั้นทำให้ปราสาทขอมบางแห่งถูกทำลาย เมื่อมีความพยายามเชื่อมโยงวัฒนธรรมเดียวกันขึ้นในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โบราณสถานที่ได้รับความเสียหายก็มีความหวังถึงการฟื้นฟูในอนาคตว่าจะได้รับบูรณะและขุดแต่งให้มีความสำคัญมากขึ้น บันเตียเมียนเจย เป็นจังหวัดของกัมพูชาที่ต่อชายแดนกับจังหวัดสระแก้วนั้น มีปราสาทหินสำคัญที่น่าสนใจมากคือ “ปราสาทบันทายฉมาร์” เป็นปราสาทที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สถาปนาขึ้นภายหลังการสิ้นพระชนม์ของ “เจ้าชายศรีนทรกุมาร” พระโอรส ถูกเรียกเป็น “มหาปรมสุคตบท”ที่พระองค์สร้างปราสาทขึ้นเพื่ออุทิศให้พระโอรส เช่นเดียวกับปราสาทที่พระองค์สถาปนาปราสาทพระขรรค์เพื่ออุทิศแด่พระราชบิดา และสถาปนาปราสาทตาพรหมหรือ “ราชวิหาร” เพื่ออุทิศถวายแด่พระราชมารดา โดยภายในปราสาทตาพรหมนั้นได้ประดิษฐานรูป “พระนางชัยราชจุฑามณีเทวี” แทนความหมายพระชนนี ไว้ภายใต้รูปเทวีปรัชญาปารมิตาผู้เป็นมารดาของพระพุทธเจ้าทั้งปวง ปราสาทบันทายฉมาร์องค์นี้เชื่อกันว่า เจ้าชายศรีนทรกุมารนั้นน่าจะสิ้นพระชนม์ไปก่อนแล้วในช่วงต้นรัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศต่อดวงพระวิญญาณ ทั้งเป็นที่เก็บเถ้าอัฐิของเจ้าชายศรีนทรกุมารและเป็นที่ฝังศพของราชองค์รักษ์ผู้ภักดีทั้งสี่ตรงบริเวณมุมของศาสนสถาน จากความจารึกว่า “เมื่อภรตราหูผู้ทรยศ ต้องการจะยึดพระราชวัง บรรดาทหารที่รักษาพระนครก็พากันหลบหนีไป เจ้าชายต้องทรงออกรบเอง สัญชักอรชุน และสัญชักศรีธรเทวาปุระ ได้ต่อสู้เพื่อปกป้องเจ้าชายและถูกฆ่าตายต่อพระพักตร์ เจ้าชายจึงทรงทุบที่จมูกของภรตราหูและฆ่าผู้ทรยศตาย ต่อจากนั้นยศตำแหน่งจึงถูกพระราชทานให้แก่สัญชักทั้งสอง เจ้าชายได้ทรงสร้างรูปสลักของทหารทั้งสองขึ้นและได้พระราชทานข้าวของเงินทองอย่างมากมาย รวมทั้งเกียรติยศให้แก่ครอบครัวทั้งสองด้วย...” จากความนี้จึงมีภาพสลักเรื่องราวของเจ้าชายศรีนทรกุมารในมหาสงครามเกียรติยศและยุทธนาวากับกองทัพจามปา มีภาพวิถีชีวิตของผู้คนชาวเขมรโบราณ และภาพสลักทางศาสนาของ “ลัทธิโลกเกศวร” ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ทำให้บันทายฉมาร์มีความสำคัญแม้จะถูกพังทะลายหรือถูกทิ้งร้าง บันทายฉมาร์นี้เคยเป็นเมืองสำคัญทางเหนือในเขตอิทธิพลชั้นในของเมืองพระนครหลวงหรือนครธม ซึ่งตั้งอยู่บนเส้นทางราชมรรคา (RoyalRoad) โดยเชื่อมโยงเมืองพระนครกับเมืองวิมายะปุระหรือเมืองพิมายในเขตที่ราบสูง บันทายฉมาร์นั้นมีขนาดใหญ่ 2x2.5 ตารางกิโลเมตร ถือว่าใหญ่กว่าปราสาทนครวัด สองเท่า แต่เล็กกว่าเมืองพระนครธม ที่มีขนาด 3x3ตารางกิโลเมตรเล็กน้อย จึงถูกเรียกว่าบันทายฉมาร์ แปลว่า ปราสาทน้อย หรือป้อมเล็ก ฉมาร์แปลว่า น้อยหรือเล็ก ตรงข้ามกับธม แปลว่าใหญ่ ด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก มีบารายสำหรับเก็บน้ำเลี้ยงชุมชน กลางบารายทางทิศตะวันออกเป็นเกาะ มีปราสาทหลังเล็กๆ ตั้งอยู่ เป็นปราสาทในคติ “เกาะราชยศรี” อันมีม้าพาหนะโพธิสัตว์เช่นเดียวกับคติของปราสาทนาคพัน ด้านในมีพื้นที่ประมาณ 250x250 ตารางเมตรมีปราสาทชั้นนอกรายรอบด้วยระเบียงคด ถัดเข้ามาเป็นกำแพงภาพสลักนูนต่ำ ชั้นในเป็นระเบียง โคปุระ และซุ้มปราสาทเมรุทิศ มีภาพสลักนางอัปสรา (Davatas)และลวดลายวิจิตร ตรงกลางเป็นกลุ่มปราสาทประธานที่ยอดปราสาทสลักเป็นรูปใบหน้าแบบเดียวกับปราสาทบายน ส่วนกำแพงโดยรอบด้านนอกนั้นมีภาพสลักของ พระอวโลกิเตศวรและการยุทธนาวากับกองทัพจามแบบเดียวกับกำแพงของปราสาทพระนครหรือนครธมแม้จะมีบางส่วนพังทลายไปก็ยังมีภาพขนาดใหญ่เหลือไว้ให้ชมอยู่มาก
บันทายฉมาร์-พังทลาย
ผังของปราสาทบันทายฉมาร์
ภาพยุทธนาวากับกองทัพจามปา
ภาพสลัก-อวโลกิเตศวร
มหาสงคราม
ภาพโลกิเตศวร
ภาพสลักนางอัปสรา
วิถีชีวิตชาวขอม
สุริยวรมันที่ 7 กับเจ้าชายศรีนทรกุมาร
อธิบดีกรมศิลปากรชมภาพสลัก
สะพานนาคก่อนเข้าปราสาท
บันทายฉมาร์-ครุฑ
บันทายฉมาร์-ตายักษ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี