วันพฤหัสบดี ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2568
สวัสดีครับ เมื่อวันที่ 29-31 สิงหาคม 2559 ที่ผ่านมา ในฐานะหัวหน้าโครงการ "สัตวแพทย์ จุฬาฯ ติดปีก" ผมได้นำทีมคณาจารย์ สัตวแพทย์ นิสิต และบุคลากร จากคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกหน่วยกิจกรรมจิตอาสา ปฏิบัติการทำหมัน ตรวจสุขภาพ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ถ่ายพยาธิ กำจัดเห็บหมัดและป้องกันพยาธิหนอนหัวใจ ให้กับสุนัขและแมวทั้งที่มีเจ้าของและจรจัด ให้กับชุมชนบ้านเพ และเกาะเสม็ด จังหวัดระยอง ซึ่งกิจกรรมนี้ได้ทำต่อเนื่องกันมาเป็นปีที่ 6 แล้ว ปีนี้มีท่านรองคณบดีฝ่ายบริการวิชาการ รองศาสตราจารย์ สัตวแพทย์หญิง ดร.เกวลี ฉัตรดรงค์ ร่วมออกหน่วยด้วยครับ
.jpg)
งานนี้ ใช้เวลา 3 วัน 2 คืน โดยจัดออกหน่วยเป็น 2 จุด ทั้งชายฝั่งบ้านเพ และบนเกาะเสม็ด ในวันแรกเราให้บริการที่หอประชุมโรงเรียนวัดเภตราสุขารมย์ ตำบลเพ ส่วนในวันที่สอง เราให้บริการที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า หมูเกาะเสม็ด ทางทีมงานต้องขอขอบคุณที่เอื้อเฟื้อสถานที่ที่ใช้ได้จำลองเป็นห้องผ่าตัดแบบประยุกต์และคลินิกเคลื่อนที่สำหรับดำเนินโครงการด้วยครั[
โครงการสัตวแพทย์จุฬาฯ ติดปีก ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีเช่นเคยจาก หนังสือพิมพ์แนวหน้า และเครือ SCG นอกจากนี้ได้รับการสนับสนุนเรื่องยาและเวชภัณฑ์สำหรับการทำหมันและวัคซีนจากพันธมิตรหลายบริษัท
งานที่ "เสม็ด" คราวนี้ สุนัขและแมว "ไม่เสร็จทุกราย" แต่ได้รับการทำหมันเพื่อ "ลดหรือชลอ" อัตราการเพิ่มของประชากรสัตว์จรจัดไปถึง 100 ตัว และได้รับการฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้า ฉีดยากำจัดเห็บ-หมัด รวมถึงรับบริการไปทั้งสิ้นเกือบ 500 ตัว ทำเอาทีมงานแทบ "สลบเหมือด" กันทีเดียว แม้ว่าจะเหนื่อยกับงานขนาดไหน เราก็เต็มใจทำเพราะงานนี้เป็นงาน "จิตอาสา" แต่ถึงกระนั้นเราก็ยังได้รับความสะดวกสบายเรื่องที่พักและอาหารการกินแสนอร่อยจาก "บ้านสับปะรด" ในเครือ "เสม็ดรีสอร์ท" โดยการบริการที่แสนอบอุ่นจากทีมพนักงานที่แสนน่ารักจากบ้านสับปะรดทุกคน งานนี้ต้องขอขอบคุณเป็นพิเศษ สำหรับผู้จัดการสาวสวย “คุณใหม่” นางสาวกัตติกมาส ศิริโยธา ที่ช่วยดูแลและการประสานงานในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อกับเทศบาลตำบลบ้านเพ โรงเรียนวัเภตราสุขารมย์ และอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า หมู่เกาะเสม็ด ซึ่งทำให้งานผ่านไปได้อย่างคล่องตัวทีเดียวครับ
ปัญหาสุนัขและแมวจรจัดที่มีจำนวนมากมายในปัจจุบันนั้น ล้วนมีสาเหตุหลักมาจาก “การเลี้ยงสัตว์แบบขาดความรับผิดชอบ” หลายคนที่เริ่มเลี้ยงลูกสัตว์เพราะเห็นว่าน่ารัก แต่เมื่อโตขึ้น ความน่ารักและความสวยงามลดลง รวมถึงเริ่มรู้สึกว่าไม่อยากเลี้ยงแล้ว เพราะเป็นภาระ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทั้งค่ากิน ค่าอุปกรณ์ ก็ไม่ดูแลต่อ หลายคนผลักภาระให้สังคม โดยการนำไปปล่อยตามที่สาธารณะ
.jpg)
การแก้ปัญหาโดยการปลูกฝังที่ "ผู้ใหญ่" นั้นคงเป็นเรื่องยาก ดังนั้นการรณรงค์ให้เยาวชนรุ่นใหม่มีจิตสำนึกในการเลี้ยงสัตว์ ให้ตระหนักว่า สุนัขและแมวเป็นสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่สิ่งของหรือของเล่น ถ้าตัดสินใจจะเลี้ยงแล้ว ก็ให้รับผิดชอบชีวิตเขา เสมือนเขาเป็น “สมาชิกในคนหนึ่งครอบครัว” น่าจะเป็นแนวทางการแก้ปัญหาที่แม้จะช้าแต่ก็น่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่มั่นคงและถาวรที่สุดครับ
“การทำหมัน” เป็นเพียงการ “ลดหรือชลอ อัตราการเพิ่ม” ให้จำนวนสัตว์เพิ่มในอัตราที่ช้าลงเท่านั้น แต่ ไม่ใช่การลดจำนวนสัตว์ลง เพราะเรา "ไม่ได้ฆ่าสัตว์" ดังนั้นเมื่อผ่านโครงการไปแล้ว สัตว์จรจัดจะยังมีจำนวนคงเดิม และดำรงชีวิตได้ตามปกติตามอายุขัยของเขา เพียงแต่ไม่เพิ่มจำนวนแพร่ลูกหลานให้เป็นปัญหาต่อสังคมเพิ่มขึ้นเท่านั้นเองครับ
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ไม่ให้จำนวนสัตว์จรจัดเพิ่มขึ้น ต้องเริ่มต้นจากตัวเราและครอบครัวของเรา จากนั้นจึงค่อยๆ ขยายไปเป็นหมู่บ้าน ชุมชนที่ใหญ่ขึ้น ถ้าเราปลูกฝังให้เด็กรุ่นใหม่มีความรับผิดชอบต่อสัตว์เลี้ยงมากขึ้นแล้ว ผมมั่นใจว่า ปัญหาสุนัขและแมวจรจัดจะค่อยๆ ลดลงแน่นอนครับ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี