วันศุกร์ ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2568
น้ำมัน เป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่ใช้ถูกนำมาใช้เพื่อการปรุงอาหาร รวมไปถึงที่นำมาทำเป็นอาหารเสริมชนิดต่างๆ ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่า น้ำมันเหล่านั้นให้ประโยชน์กับร่างกายจริงหรือเปล่า และควรทานมากน้อยเพียงใด
วันนี้เราจึงมี คุณค่าจากน้ำมัน 6 ชนิดที่ควรทานและไม่ควรทาน มานำเสนอ เพื่อให้คุณได้เลือกทานอย่างถูกชนิดและมีสุขภาพที่ดีอย่างแท้จริง

1. น้ำมันปลา
เป็นน้ำมันที่สกัดจากปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอน ทูน่า เป็นน้ำมันชนิดเดียวที่คุณหมอแนะนำว่า ควรทานเพราะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายชนิด โดยเฉพาะกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ และจำเป็นต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น และยังมีกรดไขมันโอเมก้า6 ที่ช่วยลดระดับไขมันในเลือดด้วย

2. น้ำมันตับปลา
เชื่อว่าหลายคนต้องเคยเข้าใจว่า "น้ำมันปลา" และ "น้ำมันตับปลา" เป็นน้ำมันชนิดเดียวกัน ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะน้ำมันปลาสกัดจากปลาทะเลน้ำลึก ส่วนน้ำมันตับปลา สกัดจากตับปลาทะเล เช่น ปลาคอด ปลาแฮลิบัต น้ำมันชนิดนี้มีวิตามินเอและดีอยู่ค่อนข้างมาก ส่วนโอเมก้า3 นั้นมีอยู่บ้างแต่ไม่เข้มข้นเท่าน้ำมันปลา อย่างไรก็ตาม เราไม่จำเป็นต้องทานน้ำมันตับปลาก็ได้ เพราะเราสามารถรับวิตามินเอได้จากการกินผักและผลไม้สีส้ม ส่วนวิตามินดีก็รับได้จากแสงแดดอุ่นๆ ตอนเช้าอยู่แล้ว

3. น้ำมันมะพร้าว
น้ำมันมะพร้าวแตกต่างจากน้ำมันที่กล่าวมาทั้งหมด เพราะประกอบไปด้วยไขมันอิ่มตัวราว 92% แต่ต่างจากไขมันอิ่มตัวจากสัตว์ มีคุณสมบัติที่ต่างไปจากอาหารไขมันอิ่มตัวสูงอื่นๆ แต่คุณสมบัติต้านไวรัส แบคทีเรีย หรือลดความเสี่ยงเบาหวานนั้นยังไม่มีการพิสูจน์ หากจะกินก็ควรกินแต่น้อยจะดีกว่า

4. น้ำมันดอกอีฟนิ่งพริมโรส
น้ำมันชนิดนี้เหมาะสำหรับสาวๆ มาก เพราะเป็นแหล่งของโอเมก้า6 ที่ช่วยรักษาภาวะประจำเดือนผิดปกติ เช่น อาการปวดประจำเดือน ความหงุดหงิดก่อนมีประจำเดือน คลายการเจ็บเต้านมช่วงก่อนมีประจำเดือน ลดอาการบวม หรือสิวขึ้นก่อนมีประจำเดือนได้

5. น้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์
เหมาะสำหรับผู้กินมังสวิรัติแต่ไม่อยากขาดโอเมก้า3 แม้น้ำมันชนิดนี้จะมีโอเมก้า3 ไม่สูงเท่าน้ำมันปลาแต่ก็พอทดแทนกันได้ นอกจากนี้ ยังมีกรดอัลฟาไลโนเลอิก (ALA) ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ด้วย

6. น้ำมันรำข้าว
มีฤทธิ์ในการต้านอาการอักเสบน้อย เพราะมีโอเมก้า3 น้อยมาก แต่มีโอเมก้า6 สูงมาก หากกินมากๆ โดยไม่กินโอเมก้า3 ก็อาจทำให้เกิดอาการปวดข้อได้ ดังนั้น น้ำมันชนิดนี้จึงเหมาะที่จะนำมาประกอบอาหารมากกว่ากินเป็นอาหารเสริม
ที่มา : lisaguru
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี