วันเสาร์ ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ในหลวงนำพระราชคันตุกะเสด็จฯหนองบัว
ด้วยเหตุที่ห้วยฮ่องไคร้ เป็นที่ตั้งของศูนย์ศึกษาการพัฒนาตามพระราชดำรินั้นมีวัดสำคัญอยู่ใกล้พื้นที่ คือ วัดพระธาตุดอยสะเก็ด ตำบลเชิงดอยอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เป็นวัดเก่าที่สร้างมา ตั้งแต่ พ.ศ.2155 และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2461 ซึ่งเป็นวัดตัวอย่างที่ได้รับยกย่องฐานะ ให้เป็นวัดพัฒนาตัวอย่างที่มีผลงานดีเด่น ของกรมการศาสนามาตั้งแต่ พ.ศ.2543 นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และคณะจึงมีความสนใจกิจกรรมของวัดแห่งนี้ซึ่งมีการจัดพิพิธภัณฑ์ให้เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ขึ้นโดยเฉพาะ

เจ้าอาวาสและคณะจากกระทรวงวัฒนธรรม
ตำนานของวัดดอยสะเก็ดนั้นได้เล่าถึงสมัยพุทธกาลว่า เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว ได้เผยแผ่ธรรมะแก่ชาวชนบทน้อยใหญ่ในชมพูทวีป จนได้มีผู้รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมเป็นจำนวนมาก ในกาลนั้นแล พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์มาปรากฏกายทิพย์ ณ บนดอยแห่งนี้แล้วทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังสีสว่างเจิดจ้าไปทั่ว ขณะนั้นมีพญานาคคู่หนึ่งอาศัยอยู่ในหนองบัวห่างจากวัดพระธาตุดอยสะเก็ดประมาณ 1 กิโลเมตร ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือได้เห็นฉัพพรรณรังสีจึงแปลกใจพากันเลื้อยขึ้นสู่บนดอยแล้วได้ทัศนาเห็นพระพุทธองค์ บังเกิดความเลื่อมใสจึงแปลงกายเป็นชายหนุ่มหญิงสาวมาเข้าเฝ้าฯพร้อมกับได้นำดอกบัวมาถวาย พระพุทธองค์ทรงรับเอาดอกบัวแล้วจึงทรงแสดงธรรมโปรด และประทานพระเกศาธาตุแก่พญานาคแปลงคู่นั้น พญานาคจึงได้อธิษฐานสร้างเจดีย์หิน แล้วนำเอาพระเกศาธาตุบรรจุประดิษฐานไว้บนดอยแห่งนี้

คณะผู้จัดทำพิพิธภัณฑ์วัดพระธาตุดอยสะเก็ด
ต่อมานายพรานผู้แสวงหาของป่าได้มาพบเห็นเจดีย์มีลักษณะสวยงามและเกิดอัศจรรย์แล้วจึงนำก้อนหินมาก่อเป็นรูปเจดีย์ขึ้น กลางคืนได้นิมิต (ฝัน) ว่าเจดีย์ที่ตนพบนั้นเป็นที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า จึงได้บอกกล่าวชักชวนประชาชนในแถบนั้นขึ้นไปสักการบูชา และเรียกชื่อภูเขาแห่งนี้ว่า “ดอยเส้นเกศ” ส่วนที่เรียก “ดอยสะเก็ด” นั้นเรียกตามที่พญานาคลอกคราบ ที่ชาวเหนือเรียกสละเกล็ด คือ การลอกคราบของพญานาคนั่นเอง เมื่อดอยแห่งนี้มีพุทธศาสนิกชนมานมัสการเจดีย์หิน อันเป็นที่บรรจุพระเกศาธาตุมากขึ้น จึงได้มีการก่อเจดีย์ปูนเสริมให้ใหญ่และมั่นคงกว่าเดิม ต่อมา “ครูบาเก๋”จากอำเภอเมือง จังหวัดน่าน ได้มาสร้างวิหารและบูรณะเจดีย์ พร้อมทั้งสถาปนาขึ้นเป็นวัด เรียกว่า“วัดพระธาตุดอยสะเก็ด” ในปีพ.ศ.2378 พ่อน้อยอินทจักร ได้มาบูรณะวิหารหลังเก่า และพ.ศ.2451 ครูบาชัย วัดลวงเหนือ คือวัดศรีมุง เมืองปัจจุบัน ได้มาซ่อมแซมวิหารให้ดีกว่าเดิม และเสริมองค์เจดีย์ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม และพ.ศ.2448 พระอภิวงศ์หรือครูบากาวิชัย พร้อมด้วยพ่อหนานอินทวงศ์(พ่อขุนผดุงดอยแดน) ได้มาตั้งบ้านเรือนอยู่ในหมู่บ้านเชิงดอย (ตลาดอำเภอ) เป็นครอบครัวแรก ได้ร่วมกันอุปถัมภ์วัดพระธาตุดอยสะเก็ดตลอดมาปัจจุบันวัดได้จัดอาคารพิพิธภัณฑ์แสดงการเสด็จฯหนองบัวของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 การก่อตั้งชุมชนหลังการสร้างพระธาตุดอยสะเก็ด โดยเฉพาะวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทลื้อ กลุ่มเมืองเชียงรุ้ง เมืองฮำ เมืองแซ่ เมืองลูเมืองออง เมืองลวง มาตั้งรกรากอยู่เมื่อประมาณ 200 กว่าปีมาแล้ว ที่ยังรักษาอัตลักษณ์ของตนเป็นอย่างดี ล่าสุดนั้นได้มีการพบรอยพระพุทธบาทขึ้นบนยอดดอยวัดพระธาตุดอยสะเก็ด ยืนยันความเชื่อว่าพระพุทธเจ้าธุดงค์มาแสดงพุทธปาฏิหาริย์ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสี เมื่อพุทธกาลกว่า 2,500 ปีซึ่งทางวัดได้มีโครงการปรับภูมิทัศน์ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ให้ประชาชนกราบไหว้บูชาต่อไป รอยพระพุทธบาทที่พบใหม่นี้มี 2 รอยคู่กัน เป็นรอยเท้าลักษณะเดียวกับรอยเท้าคน ตรงกลางมีรอยกลมคล้ายธรรมจักร อยู่กลางฝาเท้า ขนาดยาวกว่า 9.5 นิ้วกว้างกว่า 5 นิ้ว ซึ่งต้องศึกษาถึงธรณีวิทยาและโบราณคดีประกอบกันต่อไป

เจ้าอาวาสนำนมัสการพระพุทธบาทที่พบใหม่

ดอยสะเก็ดสถานที่ตั้งพระธาตุ

ธรรมจักรกลางพระพุทธบาท

พระธาตุดอยสะเก็ด เชียงใหม่

พระธาตุองค์เดิมที่อยู่ภายใน

พระพุทธรูปฉัพพรรณรังสี

รอยพระบาทคู่ที่พบใหม่

ห้องแสดงวิถีชีวิตไทลื้อดอยสะเก็ด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี