ระยะนี้มีข่าวเรื่องอาหารเสริมลดน้ำหนัก รับประทานแล้วมีอันตราย บางรายถึงแก่ชีวิต เนื่องจากผสมยา “ไซบูทรามีน”(Sibutramine) ที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพเจือปนโดยมีผลข้างเคียงกับคนที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดต่างๆ ปัจจุบัย อย. หรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาไม่อนุญาตให้ใช้แล้ว หรือบางรายใช้อาหารเสริมที่ไม่ได้ผ่าน อย. แต่ขายกันทาง social media อย่างมากมาย สามารถตรวจเช็คดูว่ามีขึ้นทะเบียนไว้ไหมที่ https://oryor.com/oryor2015/check_product.php วันนี้ขอแนะนำการลดความอ้วนให้ปลอดภัย
ข้อมูลจาก ผศ.พญ.สุวิรากรโอภาสวงศ์ ประธานกิจกรรมการสังคม สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย และผู้อำนวยการคลินิกสยามเดอร์มาติกส์ เปิดเผยว่า เมื่อไหร่ถึงเรียกว่าอ้วนในปัจจุบันเกณฑ์ที่ยอมรับทางการแพทย์ จะใช้ค่าดัชนีมวลกาย หรือ BMI (Body Mass Index) ซึ่งคำนวณโดยเอาน้ำหนัก (หน่วยเป็นกิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูงยกกำลังสอง (หน่วยเป็นเมตร) หากเรามีน้ำหนัก 55 กิโลกรัม สูง 160 เซนติเมตร (1.60 เมตร) ค่า BMI = 55/ (1.60x1.60) = 21.48
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดให้คนที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ต่ำกว่า 18.5 จัดเป็นน้ำหนักตัวน้อย (Underweight) และมากกว่าหรือเท่ากับ 25 จัดเป็นน้ำหนักตัวเกิน (Overweight) และได้แบ่งความรุนแรงของน้ำหนักตัวเกิน (Overweight) เป็น 4 ระดับ สำหรับประเทศไทยมีการกำหนดค่า BMI ดังนี้
l น้อยกว่า 18 --> นํ้าหนักน้อย
l 18 - 22.9 --> นํ้าหนักปกติ
l 23 - 24.9 --> นํ้าหนักเกิน
l มากกว่า 25 --> อ้วน
ข้อจำกัดของ BMI คือใช้ประเมินในผู้ที่มีกล้ามเนื้อมากอย่างเช่น นักกีฬาไม่ได้และในผู้ที่กล้ามเนื้อน้อยจากสูงอายุไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่ควรดูค่า BMI เพียงอย่างเดียว ควรดูที่มวลไขมันของแต่ละคนด้วย เนื่องจากน้ำหนักตัวเป็นน้ำหนักรวมของทุกส่วน แต่ไม่ได้บ่งบอกถึงส่วนประกอบต่างๆ ในร่างกาย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องประเมินว่าปริมาณไขมันที่มีอยู่ในร่างกายนั้นมากน้อยแค่ไหน บางคนที่มีกล้ามเนื้อมาก อาจพบว่าน้ำหนักเกินกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งนี้เพราะน้ำหนักของกล้ามเนื้อมีมากกว่าไขมันถึง 7 เท่า ในกรณีที่มีมวลเท่ากัน และประเด็นสำคัญที่เราต้องการลดน้ำหนัก คือลดไขมันส่วนเกิน โดยไม่ลดกล้ามเนื้อ กระดูกและน้ำ
ลดน้ำหนักอย่างไรให้ปลอดภัย
เมื่อน้ำหนักเราเกิน ก็ถึงวิธีที่จะลดน้ำหนัก ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่อาจจะทำได้ยากมาก ต้องมีความตั้งใจแน่วแน่ อาจจะตั้งเป้าหมายว่าจะลดกี่กิโล ในเวลาเท่าไหร่ ถ้าได้อาจจะต้องมีรางวัลให้ตัวเอง แต่การลดไม่ควรให้ลดเร็ว ตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น คือ 0.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ถ้ามากกว่านี้เมื่อหยุดควบคุมน้ำหนักมักจะดีดกลับ หรือมีโยโย่นั่นเอง สิ่งที่ควรปฏิบัติคือ
1.ควบคุมอาหาร ในการลดน้ำหนักการควบคุมอาหารเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด ไม่ว่าจะลดโดยใช้ยาหรือไม่ใช้ยา ถ้าคุมอาหารผิดๆ จะก่อให้เกิดอันตรายมากกว่าดี เพราะจะทำให้สุขภาพทรุดโทรมลง ดังนั้นควรรับประทานอาหารให้ครบสัดส่วนแต่ปริมาณน้อยลง 20% ไม่ควรจะงดอาหารเป็นมื้อเพียงแต่รับประทานอาหารเย็นให้น้อยลง ไม่รับประทานมื้อดึกหรือรับประทานแล้วนอนเลย รับประทานอาหารวันละหลายมื้อแต่ประมาณน้อยๆ จะดีกว่ารับประทานวันละมื้อสองมื้อแต่มื้อละมากๆ
นอกจากนี้การรับประทานอาหารให้ตรงเวลาจะทำให้ร่างกายปรับสมดุลและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย เวลาเรารับประทานอาหารทุกครั้งจะมีฮอร์โมนอินซูลินที่ควบคุมน้ำตาลปล่อยออกมา ถ้าไม่รับประทานให้ตรงเวลาเมื่อฮอร์โมนทำงานก็อาจทำให้เรารู้สึกโหยๆ มือสั่น อยากรับประทานของหวานๆ และเมื่อยิ่งกินของหวานก็ยิ่งอ้วน ดังนั้นควรกินอาหารให้ตรงเวลาดีที่สุด เทคนิคที่ใช้ได้ผลดีคือการรับประทานช้าๆ เคี้ยวช้าๆ จะทำให้รับประทานได้น้อยลง เมื่อตักเข้าปากเคี้ยวให้ละเอียดอย่างน้อยเคี้ยวให้ได้ 15 ครั้ง แต่ถ้าทำได้เคี้ยวคำละ 32 ครั้ง จะดีเยี่ยม แล้วค่อยกลืน สังเกตได้ว่าคนที่เคี้ยวเร็วๆ รับประทานเร็วๆส่วนใหญ่จะอ้วนง่าย
2.ออกกำลังกาย ถ้าอยากรับประทานอาหาร ทำให้ได้รับแคลอรี่เกินเท่าไหร่ การออกกำลัยกายเพื่อให้แคลอรี่สมดุลก็ไม่ทำให้อ้วน การออกกำลังกาย ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเข้าฟิตเนส ต้องออกวิ่ง ว่ายน้ำหรือเล่นกีฬา แค่ปรับพฤติกรรมเริ่มแรกเพื่อการลดน้ำหนักก็จำเป็นที่จะต้องใช้พลังงาน ให้มากขึ้น เช่น เปลี่ยนจากขึ้นลิฟท์มาเป็นขึ้นบันได และเดินไปไหนมาไหนให้มากขึ้น ต้องมีความกระฉับกระเฉงและตื่นตัวที่จะเคลื่อนไหวมากขึ้น จากนั้นค่อยๆ พัฒนาสู่การออกกำลังกายเป็นกิจจะลักษณะ ในหนึ่งสัปดาห์ขอให้ออกกำลังกายอย่างน้อยวันเว้นวัน และทำให้ได้ครั้งละ 2-30 นาที หรือ การแกว่งแขนลดพุง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขรณรงค์ก็ช่วยได้เช่นกัน
3.ตัวช่วยในการลดไขมันส่วนเกินและส่วนสัด ปัจจุบัน มีอาหารเสริมมากมายที่โฆษณาว่าสามารถลดน้ำหนักได้ คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จะช่วยลดการดูดซึมของแป้งและไขมัน ช่วยการเผาผลาญอาหาร ช่วยให้เกิดความรู้สึกอิ่มเช่น พวกไฟเบอร์ ช่วยลดความอยากอาหารและช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ หรือบางชนิดเพิ่มการขับถ่าย ทั้งปัสสาวะ อุจจาระ ก่อนเลือกซื้อต้องดูว่าต้องมีเลข อย. ถูกต้อง และถึงแม้ว่ามีเลขถูกต้องก็ไม่ใช่จะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะหากเรามีปัญหาสุขภาพอยู่แล้วยาหรืออาหารเสริมบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพได้ อย่าซื้อยาลดความอ้วนมาใช้เองเด็ดขาด หรือถ้าไปรักษาตามคลินิกควรจะสอบถาม ชื่อ ยา กลไกการออกฤทธิ์ และผลข้างเคียง จดชื่อยาที่รับประทาน เพราะบางครั้งยาที่รับประทานอาจจะไปออกฤทธิ์ เสริม หรือต้านกับยาอื่นที่เราอาจจะได้ ทำให้มีผลข้างเคียง ยาลดความอ้วนบางชนิดถ้าทานต่อเนื่องนานๆ อาจทำให้มีประสาทหลอนได้
ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งหากจำเป็นต้องใช้ยาลดน้ำหนักทุกครั้ง การลดแบบค่อยเป็นค่อยไปด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะเป็นวิธีที่ยั่งยืนกว่า
ผศ.(พิเศษ)ดร.ภก.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
ประธานมูลนิธิคุณแม่คุณภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี