อาทิตย์นี้ เดินทางไปจังหวัดสระแก้วตามรอยโครงการการเผยแพร่มรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติที่ กรมศิลปากรได้จัดขึ้นหลายครั้ง เมื่อตัดเรื่องโรงเกลือแหล่งสินค้าชายแดนออกไปก็จะมองเห็นความสำคัญของ พื้นที่ว่า นอกจากปราสาทสด๊กก๊อกธม แล้วมีโบราณสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งคือ ปราสาทเขาน้อย หรือปราสาทเขาน้อยสีชมพู ตั้งอยู่บนยอดเขาน้อย ตำบลคลองน้ำใส อำเภออรัญประเทศ ห่างจากพรมแดนไทย-กัมพูชา ประมาณ 1 กิโลเมตร ปราสาทแห่งนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2478
เขตโบราณสถานแห่งนี้มีเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ เชิงเขามีวัดเขาน้อยสีชมพูคอยรักษาดูแลเพิ่มเติมจากภารกิจการปฏิบัติธรรม ปราสาทเขาน้อยนี้ต้องเดินบันไดขึ้นไปบนยอดเขาน้อยประมาณ 254 ขั้น ด้านบนยอดนั้นมีโบราณสถานที่เป็นองค์ปรางค์ ก่ออิฐไม่สอปูนคือไม่ผสมปูน เดิมนั้นสร้างไว้ 3 หลัง แต่บางท่านให้พังทลายลงคงเหลือแต่ปรางค์องค์กลางกับเนินดินอีก 2 แห่ง การสำรวจนั้นได้พบโบราณวัตถุหลายชิ้น ในบริเวณปราสาทเขาน้อยแห่งนี้โดยเฉพาะทับหลังศิลานั้นเป็นศิลปะขอมแบบสมโบร์ไพกุกติดอยู่เหนือกรอบประตูทางเข้าปรางค์องค์ กลางและพบจารึกเขาน้อยซึ่งถือว่าเป็นจารึกที่เก่าแก่ที่สุดของไทย เป็นจารึกอักษรปัลวะโดยจารึกบนแผ่นวงกบประตูปรางค์องค์กลางด้านขวามือของ ประตู ระบุมหาศักราช 559 ตรงกับ พุทธศักราช 1180 เสาประดับประกอบประตู เป็นเสารูปแปดเหลี่ยม มีลายใบไม้ ตามลักษณะศิลปะขอมแบบกุเลนพบประติมากรรมรูปบุคคลมี 4 กร ยืนอยู่เหนือศีรษะกระบือสันนิษฐานว่าเป็นรูปนางทุรคาตอนปราบอสูรควาย หรือมหิษาสุรมรรธนี
จารึกเขาน้อยที่พบเป็นภาษาสันสกฤต มีการกล่าวสรรเสริญพระวิษณุ และพระศรีภววรมัน นอกจากนี้ยังกล่าวถึง เชย ษฐปุรสวามี ว่าเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับพระเวทเพื่อบูชาพระวิษณุ เนื้อหาส่วนที่เป็นภาษาเขมร : กล่าวถึงขุนนางผู้หนึ่งตำแหน่ง โกลญเชยษฐปุระ แต่ข้อความบางส่วนลบเลือน และส่วนใหญ่เป็นรายชื่อสิ่งของและข้าทาส จึงสันนิษฐานได้ว่า ในส่วนนี้อาจเป็นรายชื่อสิ่งของและข้าทาสที่เหล่าขุนนางที่เกี่ยวข้องอุทิศ ถวายแด่เทวสถานมรตาญโขลญเชยษฐปุระ
นอกจากทับหลังศิลปะขอมหลายรูปแบบที่น่าจะนำมาจากที่อื่นเพื่อประดับองค์พระปรางค์แล้วยังพบโบราณวัตถุอีกหลายชิ้น ที่พอประมาณได้ว่าเป็นรูปศิวลึงค์บนฐานโยนีฐาน รูปเคารพ ประติมากรรมรูปบุคคล ธรณีประตู ชิ้นส่วนประติมากรรมนูนต่ำรูปคนและสัตว์ หม้อ ไห จานมีเชิง สังข์ดินเผา เครื่องโลหะ โดยเฉพาะศิวลึงค์นั้นพบว่ามีการทำลายให้แตกแล้วโยนทิ้งไว้มากกว่า และหลักฐานสำคัญอีกชิ้นหนึ่งคือ ตราประทับสำริดที่มีอักษรขอมโบราณว่า เกษะ ซึ่งแปลว่าพึงอนุมัติ ทำให้มีการศึกษาต่อไปว่า ตรานี้ ประทับเพื่อ กิจกรรมสำคัญอะไร คงไม่ได้หมายถึงหนังสือสั่งราชการอะไร น่าจะใช้ในวาระสำคัญ เช่น การประหารชีวิตบุคคลผู้มีตำแหน่งสูง หรือมีการช่วงชิงอำนาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะการให้อำนาจกับผู้ถือเป็นมือที่มองไม่เห็นในสมัยนั้น
บรรดาโบราณวัตถุทั้งหลายนั้นพบว่ามีบางส่วนสูญหายและถูกโยกย้ายไปเก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์ ต่อมาปี พ.ศ.2532 กรมศิลปากรได้มอบหมายให้หน่วยศิลปากร ที่ 5 ดำเนินการขุดแต่งปราสาทเขาน้อยซึ่งเมื่อขุดลอกดินที่ทับถมออกจากปราสาทเขา น้อยทั้งหมด พบว่าปรางค์ทิศเหนือและปรางค์องค์กลางตั้งอยู่บนฐานอันเดียวกัน แต่ปรางค์ทิศเหนือสร้างยื่นล้ำ ออกมาข้างนอกมาก อาคารทิศใต้ตั้งอยู่บนฐานสูงเท่ากันแต่แยกห่างออกไปเล็กน้อย มีเพียงแนวฐานอิฐด้านหลังทำมาเชื่อมกัน ปรางค์องค์กลางฐานปรางค์องค์นี้มีรายละเอียดประณีตซับซ้อนมาก โดยเฉพาะรูปแบบของการย่อมุม เว้นช่อง และเรียงอิฐลดหลั่นตั้งแต่ฐานจนถึงเรือนธาตุซึ่งยังเหลือช่วงล่างของบันได ซึ่งมีทางขึ้นมี 7 ขั้น นับเป็นรูปแบบที่ไม่เหมือนเทวสถานในที่อื่น ปราสาทแห่งนี้มีความสำคัญในเขตแดนระหว่างประเทศ และเป็นอำนาจที่มองไม่เห็นในสมัยนั้น
เขาน้อยอยู่ห่างจากเขตเขมร 1 กิโลเมตร
ปราสาทเขาน้อยองค์กลาง
ฐานศิลาก่อนขึ้นองค์ปราสาท
ทับหลัง
ตราสำริดมีด้ามจับ
การย่อมุมที่องค์ปรางค์
บันไดขึ้นเขาน้อย
มณฑปและปรางค์บนเขาน้อย
ตราสำริดคำว่า เกษะ
พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ Paladisai@siamrecorder.com
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี