เดือนกรกฎาคมเมื่อ ๑๖๙ ปีนั้นสังคมไทยได้รู้จักหนังสือพิมพ์ฉบับแรก อันเป็นปฐมเหตุทำให้ข่าวสารได้มีการรับรู้ด้วยการอ่านและแทนที่การเล่าข่าว อาทิตย์นี้ขอตามหาภูมิหนังสือพิมพ์ไทยในอดีตที่มีการพัฒนากิจการมาจนถึงปัจจุบัน กิจการหนังสือพิมพ์นั้นเริ่มขึ้นตอนปลายรัชกาลที่๓-รัชกาลที่ ๔ ด้วยเหตุที่คณะมิชชันนารีอเมริกันได้นำการพิมพ์อักษรไทยมาใช้พิมพ์เอกสารและหนังสือขึ้นโดย หมอ แดน บี บรัดเล ชาวอเมริกันเป็นผู้บุกเบิกการพิมพ์ขึ้นแทนการเขียนบนสมุดไทย เอกสารที่ได้รับการพิมพ์ครั้งแรกคือใบประกาศห้ามฝิ่นในรัชกาลที่ ๓ ต่อมาหมอบรัดเลได้ออกหนังสือพิมพ์ฉบับแรกในวันที่๔ กรกฎาคม พ.ส.๒๓๘๗ชื่อหนังสือพิมพ์ บางกอกรีคอร์เดอร์ แต่คนไทยรู้จักกันว่า จดหมายเหตุอย่างสั้น ด้วยหนังสือพิมพ์นี้พิมพ์ข่าวและประกาศต่างๆอย่างย่อๆ ออกรายปักษ์หนังสือพิมพ์บางกอกรีคอร์เดอร์ออกจำหน่ายอยู่ได้๒ปี ต้องปิดกิจการเพราะขาดทุน เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่ขณะนั้นยังไม่รู้หนังสือมากและผู้รู้หนังสือก็มีแต่ขุนนางไทยสมัยนั้น ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๐๗หมอบรัดเลได้ออกหนังสือพิมพ์บางกอกรีคอร์เดอร์ใหม่อีกเป็นครั้งที่สอง แม้ว่าบางกอกรีคอร์เดอร์จะให้สาระความรู้แก่ชนชั้นสูงมากกว่าประชาชน เสรีภาพในการเขียนที่มีความเห็นการต่อต้านความอยุติธรรม การรายงานเหตุการณ์ต่างๆนั้นหมอบรัดเลได้กล้าเสนอในสิ่งที่คนไทยสมัยนั้นไม่เสนอจึงทำให้มีข้อขัดแย้งและหมิ่นเหม่ต่อคดีอาญา ในรัชกาลที่ ๔นั้นได้มีได้ออกประกาศไม่ให้เชื่อหนังสือพิมพ์ เพราะเห็นว่าหนังสือพิมพ์ของฝรั่งนั้นเกินจริงจึงเป็นเครื่องมือใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น ทำให้หมอบรัดเลนั้นต้องเลิกออกหนังสือพิมพ์จากการพิมพ์เนื่องจากแพ้คดีความที่ถูกทูตชาวฝรั่งเศสฟ้องร้องทำให้กิจการขาดทุนจึงเลิกกิจการทั้งหมด นอกจากกิจการหนังสือพิมพ์แล้วยังมีการพิมพ์หนังสือตำราและวรรณคดีต่างๆอีกด้วย ในยุคนี้มีหนังสือพิมพ์ที่เกิดขคึ้นจากการพิมพ์ของฝรั่งอีกเช่น บางกอกคาร์เลนดาร์ ของหมอจันทเล บางกอกเดลี ของหมอสมิธ
หมอบรัดเลย์-ผู้นำตัวพิมพ์ภาษาไทย มาพิมพ์ในร.3
ต่อมาจึงมีหนังสือพิมพ์ราชกิจจานุเบกษาขึ้นในปลายสมัยรัชกาลที่๔-ถึงปลายรัชกาลที่๕ โดยเจ้านายกลุ่มหนึ่งที่มีการศึกษาจากต่างประเทศมีความเห็นว่าถ้าให้ฝรั่งออกหนังสือพิมพ์แต่ฝ่ายเดียวย่อมเป็นภัย จึงได้ออกหนังสือ ราชกิจจานุเบกษา ขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๐๑มีกำหนดออกเป็นครั้งคราวมีประสงค์เพื่อแจ้งประกาศของราชการ กฎหมายข้อบังคับ แจ้งความเตือนสติ และชี้แจงข่าวคลาดที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ นับได้วาเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับแรกที่ออกโดยคนไทย ราชกิจจานุเบกษาสมัยรัชกาลที่๔ นั้น ออกได้เพียงปีเดียวก็เลิกและมาออกอีกครั้งหนึ่งในรัชการที่๕ในปี พ.ศ๒๕๑๗-๒๔๑๘ต่อมาได้มีการออกหนังสือ ค็อต ข่าวราชการ เป็นหนังสือพิมพ์รายวันมีจำนวนหน้า๔หน้า เพื่อเผยแพร่ข่าวราชการ และข่าวความเคลื่อนไหวในราชสำนักรายงานข่าวกำหนดการต่างๆล่วงหน้า และบุคคลในข่าวมักเป็นพระบรมวงศานุวศ์และข้าราชการเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีหนังสือวชิรญาณและ วชิรญาณวิเศษ ในปี พ.ศ.๒๔๒๗เป็นหนังสือพิมพ์รายเดือน เน้นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และเรื่องอ่านเล่น ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องทางราชการ และอ่านกันเฉพาะในหมู่คนจำนวนน้อย ไม่หวังผลทางการค้าจึงอยู่ได้ด้วยการนสนับสนุนจากราชสำนัก ช่วงปลายสมัยรัชกาลที่๕นั้นจึงมีหนังสือพิมพ์ที่ออกโดยประชาชน เช่น ก.ศ.ร.กุหลาบ และเทียนวรรณ ที่ออกหนังสือ สยามประเภทสุนทโรวาทพิเศษ และแข่งขันกับหนังสือพิมพ์ของเจ้านาย และเสี่ยงต่อการขาดทุนเพราะโฆษณายังไม่แพร่หลาย แต่กลับได้รับความนิยมจากประชาชนมาก
เปิดสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งแรก 17 พ.ค.84
ภาพหลังหนังสือพิมพ์ไทยได้เจริญเติบโตไปตามการเปลี่ยนแปลงของสังคมประชาธิปไตยที่มีรัฐบาลบริหาร ทำให้บทบาทหนังสือพิมพ์ได้กลายเป็นสื่อของประชาชนโดยมีปรัชญาของอุดมการณ์หนังสือพิมพ์ในการแสดงความคิดเห็นและสะท้อนข้อเท็จจริงในสังคมให้ปรากฏ ซึ่งกลไกประชาธิปไตยที่ผลักดันการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองและสังคมของไทยให้เกิดความชอบธรรมจนเป็นมติมหาชนในที่สุด
แท่นพิมพ์โบราณ
การประชุมตั้้งสมาคมหนังสือพิมพ์
นักหนังสือพิมพ์ต้นแบบ
หนังสือพิมพ์ในรัชกาลที่ 4-5
ตัวอักษรไทยสมัยพระนารายณ์
อาคารโรงพิมพ์วัดบวรนิเวศ
ห้องจำลองกองบก.นสพ.เก่า
พิพิธภัณฑ์หนังสือพิมพ์ไทย
เครื่องอ่านไมโคฟิล์มหนังสือพิมพ์
Paladisai@siamrecorder.com
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี