ตำหนักเพชรในวัดบวรนิเวศวิหาร
วันที่ 3 ตุลาคม 2556 สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงมีพระชันษา 100 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร จึงมีการจัดงานฉลองพระชันษา อาทิตย์นี้จึงตามรอยหาคุณค่าจากพระอารามแห่งนี้
วัดบวรนิเวศวิหารเดิมเรียกชื่อกันว่า “วัดใหม่”เนื่องจากเป็นวัดที่สร้างใหม่ตั้งอยู่ภายในกำแพงพระนครด้านทิศเหนือมีถนนพระเมรุผ่านย่านสำคัญที่รู้จักกันดีคือ บางลำพู พื้นที่สร้างวัดนี้เดิมนั้นเป็นที่ว่างเปล่าในเขตของวังหน้า ต่อมาสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ (พ.ศ.2367-2375) กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้สถาปนาวัดขึ้นใหม่ในบริเวณนี้ สืบเนื่องจากก่อนนั้นได้มีการทำการศพเจ้าจอมมารดาน้อย ซึ่งเป็นเจ้าจอมมารดาของพระองค์เจ้าหญิงดาราวดี ผู้เป็นพระชายาในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ และเจ้าจอมมารดาน้อย เป็นพระชายาในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ด้วย
พระตำหนักเจ้าจอมมารดาเรียม
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ทรงสถาปนาวัดสำคัญ 2 แห่ง คือ วัดบวรสถานสุทธาวาส หรือ วัดพระแก้ววังหน้า อยู่ในเขตพระราชวังบวรสถานมงคลทางด้านทิศเหนือ เพื่อให้เป็นวัดประจำวังเช่นเดียวกับวัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นวัดอยู่ในเขตพระบรมมหาราชวังและวัดใหม่ที่ทรงสถาปนาวัดขึ้นในพื้นที่บริเวณทิศเหนือของพระนครใกล้กับวัดรังษีสุทธาวาสวัดของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ ทรงสร้างไว้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 โดยเริ่มสร้างภายหลังจากที่ได้ใช้พื้นที่ทำการศพเจ้าจอมมารดาน้อยดังกล่าวแล้วบริเวณที่กำหนดสร้างวัดขึ้นใหม่นั้นเมื่อแรกเริ่มสร้างสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ทรงสร้างพระอุโบสถขึ้นก่อน เป็นอาคารจตุรมุข มีมุขหน้ายาว มุขข้างและมุขหลังสั้น ได้ผูกพัทธสีมาเฉพาะมุขหน้าเท่านั้น โดยได้อัญเชิญหลวงพ่อโตจากวัดสระตะพาน เมืองเพชรบุรี ซึ่งเป็นพระพุทธรูปโลหะ ลงรักปิดทองปางมารวิชัย ศิลปะแบบอู่ทองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ ขนานนามว่า “พระสุวรรณเขต”
พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎฯ ทรงสถาปนาธรรมยุตนิกาย
สมเด็จพระสังฆราชกับพระภิกษุเจ้าฟ้าวชิราวุธ
และ สามเณรเจ้าฟ้ามหิดล
วัดใหม่หรือวัดบวรนิเวศวิหารสร้างสมัย ร.3
ครั้นเมื่อสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์เสด็จสวรรคต ใน พ.ศ.2335 แล้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็มิได้ทรงตั้งเจ้านายพระองค์ใดพระองค์หนึ่งขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล จนตลอดรัชกาล ต่อมา พ.ศ.2379 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงอาราธนาสมเด็จพระอนุราชาธิราส เจ้าฟ้ามงกุฎฯ ซึ่งทรงผนวชเป็นพระภิกษุประทับอยู่วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) ให้เสด็จมาอยู่ครองวัดนี้เมื่อ พ.ศ.2379
พระเจดีย์ใหญ่วัดบวรนิเวศวิหาร
อาคารพิพิธภัณฑ์วัดบวรนิเวศวิหาร
จารึกชื่อวัดบวรนิเวศวิหารของเดิม
ระหว่างที่พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ ครองวัดบวรนิเวศวิหารนั้น ทรงได้ทำการปรับปรุงวางหลักเกณฑ์ความประพฤติ ปฏิบัติของพระสงฆ์ให้เป็นไปโดยถูกต้องตามพระธรรมวินัย โดยมีพระสงฆ์ประพฤติปฏิบัติตามอย่างพระองค์เป็นอันมาก ในครั้งนั้นได้นำการประพฤติปฏิบัตินั้นมาใช้ในการปกครองพระสงฆ์ในวัดนี้แรกนั้นเรียกพระสงฆ์คณะนี้ว่า “บวรนิเวศาทิคณะ” อันเป็นชื่อสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร ต่อมานั้นใช้ชื่อว่า “คณะธรรมยุติกนิกาย” แปลว่าคณะสงฆ์ผู้ซึ่งปฏิบัติตามพระธรรมวินัย วัดบวรนิเวศวิหาร จึงเป็นต้นแบบของคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายของสยามมาจนทุกวันนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่า วัดรังษีสุทธาวาส ซึ่งอยู่ติดกับวัดบวรนิเวศวิหารนั้นมีสภาพทรุดโทรมมาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบรวมเข้าเป็นวัดเดียวกับวัดบวรนิเวศวิหารเสียเมื่อ พ.ศ.2458 ด้วยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระสรีรางคารมาบรรจุไว้ ณ ใต้บัลลังก์พระพุทธชินสีห์ในพระอุโบสถ เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พุทธศักราช 2468 วัดบวรนิเวศวิหาร จึงได้รับการยกย่องเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 6 อีกประการหนึ่งด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี