เทพารักษ์รักษาพระนคร ๕ องค์
วันที่ ๒๑ เมษายน ทุกปีเป็นวันสำคัญของกรุงเทพมหานคร ด้วยเมื่อพ.ศ.๒๓๒๕ นั้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแผ่นดินต้นหรือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ แห่งราชวงศ์จักรีได้สถาปนาเสาหลักเมืองขึ้นก่อนสร้างพระนครแห่งใหม่ที่ฝั่งตะวันออกของบางกอก อาทิตย์นี้ขอตามรอยภูมิความเที่ยงธรรมจากการสร้างหลักเมือง ซึ่งเป็นขนบประเพณีมาแต่สมัยโบราณที่เป็นสิ่งสำคัญของการสร้างเมืองทุกแห่ง ที่ต้องสร้างคู่กันกับเมืองที่สร้างขึ้น การยกเสาหลักเมืองขึ้นนั้นต้องมีชัยภูมิสำคัญ ให้เป็นมิ่งขวัญแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินให้ยึดเป็นหลักชัยว่า บ้านเมืองที่สร้างขึ้นนั้นมีรากฐานฝังไว้แน่นอนแล้ว ให้มีความเชื่อในหลักเมืองว่าจะผดุงกำลังใจให้มั่นคงแน่วแน่ในการดำรงชีพ และอยู่เย็นเป็นสุขรุ่งเรืองสถาพรตลอดไป
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแผ่นดินต้น รัชกาลที่๑ เมื่อทรงสร้างกรุงเทพมหานครฯ ได้ทรงประกอบพิธีสร้างหลักเมือง เมื่อวันอาทิตย์ เดือนหก ขึ้นสิบค่ำ ปีขาล จัตวาศก จุลศักราช๑๑๔๔ ฤกษ์เวลา ๖.๔๕ น. ตรงกับวันที่๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ ได้กำหนดดวงชะตาของเมืองจารลงในแผ่นทองคำ ดังนี้ ลัคนาสถิตราศรีเมษกุมอาทิตย์ เกตุอังคารอยู่ราศรีพฤกษภ มฤตยูอยู่ราศรีเมถุน จันทร์ราศีกรกฎ เสาร์และพฤหัสราศีธนูราหูศุกร์ และพุธราศีมีน
เสาหลักเมืององค์สูง ร.๑ และร.๔ องค์รอง
เสาหลักเมืองที่สร้างขึ้นนั้นมีพิธีรีตองตามพระตำรา เรียกว่า พระราชพิธีพระนครสถาน เสาหลักเมืองนั้นใช้ไม้ชัยพฤกษ์โดยมีไม้แก่นจันทร์ประกับไว้ด้านนอก ขนาดสูง ๑๘๗ นิ้วกำหนดให้ความสูงของเสาหลักเมืองอยู่พ้นดินแล้ว๑๐๘ นิ้ว ฝังลงในดินลึก๗๙ นิ้ว ตัวเสาลงรักปิดทอง ส่วนยอดนั้นสร้างหัวเม็ดยอดสวมไว้ส่วนบนสุด ภายในกลวงเป็นช่องสำหรับบรรจุดวงชะตาพระนคร โดยมียันต์โสฬสมงคล ทำด้วยแผ่นศิลาสำหรับเป็นฐานรองรับเสาหลักเมือง โดยมียันต์พระไตรสรณาคมน์ ทำด้วยแผ่นเงิน ปิดไว้ที่ปลายเสาหลักเมือง และ ยันต์องครักษ์ ธาตุทั้งสี่ทำด้วยแผ่นเงินปิดที่ต้นเสาหลักเมือง แล้วนำดินที่ขุดในพระนครจากทิศทั้งสี่ ปั้นเป็นก้อน สมมติให้เป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ ทำพิธีใส่ลงในหลุมที่ขุดไว้สำหรับฝังเสาหลักเมือง แล้ววางแผ่นศิลายันต์บนดินทั้งสี่ก้อนนั้น โดยเชิญ เสาหลักเมืองลงหลุมให้วางบนแผ่นศิลา
ร.๙ ทรงผูกผ้าเสาหลักเมือง
หลักเมืองที่สถาปนาครั้งแรกนั้นสร้างศาลาพอกันแดดกันฝนเท่านั้น ไม่มีเทพารักษ์มารวมอยู่ด้วย ต่อมาหลักเมืองชำรุดทรุดโทรมลง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๔ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหลักเมืองขึ้นใหม่ แล้วบรรจุดวงชะตาเมือง ลงด้วยแผ่นทองคำหนัก๑ บาท ประกอบพระราชพิธีบรรจุ พระชาตาพระนคร โดยจารึกลงบนแผ่นสุพรรณบัฏในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และโปรดให้ก่อสร้างศาลาขึ้นใหม่ เป็นศาลรูปปรางค์ยอดตามแบบเดิมอย่างศาลหลักเมืองในกรุงศรีอยุธยา หลักเมืององค์ใหม่เชิญบรรจุพระชะตาพระนครบนยอดหลักเมือง เมื่อวันอาทิตย์ เดือนอ้าย แรมเก้าค่ำ ปีฉลู เบญจศก
ศาลหลักเมืองในสมัยรัชกาลที่ ๕
จุลศักราช๑๒๑๕ ตรงกับวันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๙๖ต่อมาจึ่งได้อัญเชิญเทพารักษ์๕ องค์ เทพารักษ์๔ องค์เป็นเทพารักษ์หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ และปิดทองหมด อีกองค์หนึ่งแกะสลักรูปเทพารักษ์ด้วยไม้แล้วปิดทอง เป็นฝีมือช่างสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คือ๑.เจ้าพ่อหอกลอง๒. พระเสื้อเมือง คุ้มครองป้องกันทางบก ทางน้ำ คุมกำลังไพร่พลแสนยากรครอบคลุมเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุข๓.พระทรงเมือง มีหน้าที่ป้องกันไพร่ฟ้าประชาชนทั่วประเทศ มีปู่เจ้าเขาเขียว ปู่เจ้าสมิงพราย เป็นต้น๔.พระกาฬ มีหน้าที่ป้องกันมิให้ผู้คนทำความชั่ว ป้องกันความเจ็บไข้ มีธุระสอดส่อง บุคคลอันธพาลทั้งหลายในยามค่ำคืน ด้วยการขี่นกแสกออกตรวจตราบุคคลถึงฆาตก็นำตัวไปให้พระยมชำระ ถ้ามีความดีก็ส่งขึ้นไปสวรรค์ถ้าทำความชั่วก็ส่งลงนรก๕.เจ้าพ่อเจตคุปก์ เทพารักษ์องค์นี้แกะด้วยไม้แต่ปิดทองทั้งองค์ ความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อหลักเมืองนั้นเชื่อว่าหน้าที่คุ้มครองพระราชกำหนดกฎหมาย ให้ขุนศาลตุลาการดำเนินไปด้วยความเที่ยงธรรม เป็นหลักค้ำจุนบ้านเมืองดังนั้นถ้ากฏหมายขาดความเที่ยงธรรมแล้วบ้านเมืองก็เสียหายจนหาหนทางความร่มเย็นเป็นสุขสถาพรได้ยาก
หลักเมืองรัชกาลที่ ๔
เจ้าพ่อเจตคุปต์
เจ้าพ่อหอกลอง
พระกาฬไชยศรี
พระทรงเมือง
พระเสื้อเมือง
ยันต์บนหินรองก้นหลุม
ยันต์สำหรับดวงชะตาพระนคร
ยันต์สุริยันทรงกลดของหลักเมืองต้นแรก
พระตำราพิธีเสาหลักเมือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี