เหตุผลต่างๆ ในการวินิจฉัย เช่น ลูกศิษย์ผมบอกว่าคลำได้ตับโต ผมก็จะถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าอวัยวะหรือสิ่งที่คลำได้คือตับ และไม่ใช่อวัยวะอื่นๆ ไม่น่าเชื่อแพทย์มักคลำได้ (และถูก) แต่พอถามเหตุผลมักตอบไม่ได้! หรือไม่ได้หมดทุกข้อ เหมือนผมถามคนรถว่าจะไปแห่งหนึ่งจะไปอย่างไร เขาขับรถไปถูก แต่บอกเราไม่ได้! ว่าจะไปถนนอะไร!?
นอกเหนือจากการสอนของผมเกี่ยวกับโรคต่างๆ ผมยังสอนเกี่ยวกับ clinical ตามที่ได้กล่าวไว้แล้วจากการไปเยี่ยมโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ ตั้งแต่นานมาแล้วจนถึงปัจจุบัน ก็ได้รับการบ่นจากแพทย์ผู้ใหญ่ตามโรงพยาบาลต่างๆ ว่าแพทย์สมัยนี้ คงทุกสมัย แต่โดยเฉพาะสมัยนี้ เพราะสมัยนี้มีเครื่องมือสำหรับการตรวจเพิ่มเติมมากมาย เช่น CT, MRI แต่สมัยก่อนโน้น ตอนผมมาจุฬาฯ ใหม่ๆ 2514 CT, MRI, การส่องกล้องดูลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ไม่มี มีแต่การตรวจเลือด กลืนแป้ง สวนแป้งแบเรียม ฯลฯ เท่านั้น สมัยโน้นจึงต้องอาศัยความรู้ทางด้านคลินิก (ซักประวัติ ตรวจร่างกาย)เป็นอย่างมาก ความจริงถึงแม้สมัยนี้ การซักประวัติดีๆ ตรวจร่างกายอย่างละเอียด คิดเก่ง ก็สามารถให้เราวินิจฉัยโรคได้ 70-80% แล้ว การตรวจเพิ่มเติมทางห้อง lab Xray etc. ควรเป็นเพียงการยืนยันโรคที่เราสงสัยตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ว่าเราไม่ค่อยรู้ว่าเป็นโรคอะไร แต่ตรวจเพิ่มเติมแบบเหวี่ยงแหเพื่อหวังว่าการตรวจต่างๆ จะช่วย
การสอนของผมทางด้านวิชาการ ไม่สามารถสอนหมดได้ทุกโรค ทุกเรื่องของระบบทางเดินอาหาร เพราะมีมากเกินกว่าที่จะสอนได้ภายใน 1 เดือน รวมทั้งผมไม่เก่งไปทุกโรคของระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเป็นสาขาวิชาที่มีพื้นที่หรืออวัยวะที่แพทย์ทางด้านนี้ต้องรับผิดชอบมากมาย เช่น ตั้งแต่ปาก ลิ้น ฟัน หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ตับ ถุงน้ำดี ตับอ่อน ช่องท้อง ฯลฯ
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับแพทย์ทางโรคหัวใจ ปอด ไต แล้วจะเห็นว่าเรามีอวัยวะที่ต้องรับผิดชอบมากกว่า 3 อนุสาขา ตามที่ได้กล่าวไว้ ผมจึงคิดว่าท่านอธิการบดี คณบดี หัวหน้าภาค ต้องสนับสนุนสาขาวิชา GI ให้มากกว่านี้ (หรือสาขาวิชาอื่นๆ ที่มีอวัยวะที่ต้องรับผิดชอบมาก มากกว่าอนุสาขาอื่นที่มีอวัยวะเดียว) จนกระทั่งเร็วๆ นี้ หน่วยทางเดินอาหารมีแพทย์น้อย หรือเท่ากับหน่วย หัวใจ ไต ปอด เสียอีก!
ตอนที่เริ่มต้นสอน เรามีอาจารย์เพียง 6 คน ผมอยากให้ลูกศิษย์ได้ความรู้จากอาจารย์ทุกๆ คน ผมจึงไปขอให้อาจารย์ท่านอื่นๆ สมัยโน้นช่วยสอนด้วยแต่ปรากฏว่าอาจารย์แต่ละท่านไม่ว่าง ผมจึงต้องสอนคนเดียว แต่ผมชอบที่ไม่ต้องแบ่งเวลาให้ใคร แต่ในการสอนของผม ผมได้แนะนำลูกศิษย์ไปด้วยว่าอาจารย์อีก 5 ท่าน (หรือเท่าที่มีในปัจจุบันนี้) นั้นเก่งอะไร ทำทางไหน และแนะนำให้คุณหมอทั้งหลายไปปรึกษาทุกๆ ท่านเอง ในเวลาที่มีผู้ป่วยตามที่อาจารย์ท่านนั้นถนัด หรือไม่ก็ไปหาอาจารย์เลยและขอให้อาจารย์สอนหัวข้ออะไรก็ได้ที่ท่านทำอยู่ ลูกศิษย์จะได้ความรู้จากทุกๆ อาจารย์ ไม่ใช่ได้จากผมเท่านั้น
การสอนของผมค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ จนถึงบัดนี้ คงพูดได้ว่าการสอนของผมปัจจุบันนี้ (ถึงแม้เกษียณแล้ว 13 ปี) ดีกว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้ว และเมื่อ 5 ปีที่แล้วดีกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เพราะอะไร เพราะถึงแม้ผมเกษียณมานานแล้ว แต่ผมยังอ่านหนังสือ วารสาร (อาจอ่านมากกว่าผู้ที่ยังไม่เกษียณเสียอีก) ยังไปประชุมต่างประเทศทุกปี และที่สำคัญคือ จนถึงบัดนี้ ผมโชคดีที่มีตำแหน่งต่างๆ เช่น เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุขของ สปสช. คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คณะกรรมการบูรณาการ ประสานงาน
กรณีกู้ชีพฉุกเฉิน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นอดีตสมาชิกวุฒิสภา อดีตเลขาธิการแพทยสภา ฯลฯ ทำให้ผมรู้กว้าง บางอย่างลึก ทำให้ผมมีประสบการณ์ในเรื่องต่างๆ ที่แพทย์ทั่วๆ ไปมักไม่มี เช่น ความรู้เรื่อง Harm Reduction, Road Safety, Climate Change, การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น, การที่ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ความรุนแรงในครอบครัว ฯลฯ ซึ่งผมก็เอาเรื่องต่างๆ เหล่านี้มาให้ลูกศิษย์รุ่นปัจจุบันทราบพอสมควร เพื่อเป็นความรู้รอบตัวด้วย
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี