ผมรู้สึกโชคดีและเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้รับเชิญจากท่านพล.ร.อ.พลวัฒน์ สิโรดม ประธานคณะอนุกรรมาธิการกิจการผู้สูงอายุ (ในกรรมาธิการสังคมกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส ของ สนช.) ให้มาร่วมเป็นอนุกรรมาธิการ
ผมเคยเป็น สว.สรรหา ภาควิชาการ ปี 2551-2554 หลังจากนั้นถึงแม้ไม่ได้เป็น สว.หรือ สนช.อีก แต่ได้รับเชิญตั้งแต่ 2554 จนบัดนี้ ให้เป็นอนุกรรมาธิการต่างๆ โดยขณะนี้เป็นกรรมาธิการบูรณาการประสานงานกรณีกู้ชีพฉุกเฉินที่มีท่านรองประธานท่านที่ 1 คุณสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย เป็นประธาน เป็นประธานคณะอนุกรรมการเตรียมการระบบการใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ (automated external defibrillator,AED) (สนช.) เป็นอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาการดูแลรักษาพยาบาลผู้สูงอายุแบบครบวงจรในคณะกรรมาธิการสาธารณสุข และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ คณะกรรมาธิการสาธารณสุข
ประเทศไทยเราได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยตั้งแต่ พ.ศ.2547 ในปี 2557 ไทยมีผู้สูงวัยถึง 14.9% (สำนักงานสถิติแห่งชาติ) และเมื่อ 26 ธันวาคม 2559 มีถึง 16.8% (มหาวิทยาลัยมหิดล) คาดว่าปี 2564 และ 2574 จะเพิ่มเป็น 20 และ 28%ตามลำดับ การเป็นสังคมผู้สูงวัยมีปัญหาต่างๆตามมามากมาย เช่น กลุ่มวัยเด็ก เยาวชนลดลง กลุ่มวัยผู้ทำงานลดลง(อีกหน่อยจะขาดคนทำงาน) แต่กลุ่มผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาของผู้สูงอายุคือ อายุยืนยาวขึ้นก็จริง แต่เต็มไปด้วยโรคคือ สูงอายุอย่างไม่มีคุณภาพ มีการศึกษาที่น้อย มีเงินออมน้อย ทำให้ผู้สูงอายุต้องทำงานเพื่อมีรายได้หรือรายได้เพิ่ม ฯลฯ
นอกจากนั้นยังมีปัญหาที่อยู่อาศัย เราจะต้องมีที่อยู่สำหรับผู้สูงอายุอย่างเพียงพอ ไม่ว่าจะอยู่คนเดียวถึงแม้ยังช่วยตนเองได้ หรือผู้สูงอายุที่ต้องพึ่งพา ซึ่งภาษาของหน่วยงานที่ดูแลผู้สูงอายุจะแบ่งกลุ่มผู้สูงอายุเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 เรียกว่า
ติดสังคม ช่วยตัวเองได้และยังช่วยผู้อื่นได้ กลุ่มที่ 2 กลุ่มติดบ้าน ช่วยตัวเองในบ้านได้ แต่ถ้าไปข้างนอก ต้องพึ่งคนอื่น และกลุ่มที่ 3 ติดเตียง กลุ่มนี้ช่วยตนเองไม่ได้เลย
ประเทศไทยมีผู้สูงอายุประมาณ 11 ล้านคน(16% ของประชากรทั้งหมด) 1% จะเป็นผู้ติดเตียง 14% จะเป็นผู้ติดบ้าน รวมแล้วคือมี 15% ของผู้สูงอายุไทยที่ติดบ้านหรือติดเตียง คือต้องพึ่งพาผู้อื่นไม่มากก็น้อย 15% ของประชาชนผู้สูงอายุ 11 ล้านคนคือ 1,650,000 คน
ปัญหาของไทย(และประเทศอื่นๆโดยเฉพาะญี่ปุ่น)คือ การดูแลผู้สูงอายุทุกกลุ่ม ผู้สูงอายุบางคนยังช่วยตนเองได้ แต่อยู่บ้านคนเดียว อาจต้องการที่อยู่อาศัยที่มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน จะได้มีเพื่อนร่วมทำกิจกรรม ไม่เหงา และกลุ่มที่ติดบ้าน
ติดเตียง ยิ่งต้องการที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม มีคนดูแล รวมทั้งพยาบาล แพทย์ ฯลฯ
ปัญหาต่อมาคือผู้ดูแลผู้สูงอายุและผู้จัดการคือ care giver และ care manager ตามลำดับ ใครควรจะเป็น care giver ดีที่สุดถ้าเป็นไปได้คือ ผู้สูงอายุควรอยู่ที่บ้านตนเอง ถ้าเป็นเช่นนี้บ้านต้องเหมาะสมจะเป็นที่อยู่ผู้สูงอายุโดยเฉพาะและญาติพี่น้องควรเป็นผู้ดูแล แต่ปัญหาปัจจุบันคือ ผู้สูงอายุอยู่คนเดียวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดในปี พ.ศ.2557 อยู่คนเดียว 8.7% อยู่กับคู่สมรสเท่านั้น 19% ดูเผินๆ นึกว่าดีที่อยู่กับคู่สมรส แต่ปัญหาคือ คู่สมรสก็สูงอายุพอๆกัน ตัวเลข 8.7 และ 19% จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
และประเทศไทยยังมีcare giver care manager ไม่เพียงพอ ยังไม่มีการฝึกอบรมที่ได้มาตรฐานทั่วประเทศ ขณะนี้มีหลักสูตรของ 3 หน่วยราชการเท่านั้น คือ กรมอนามัย กรมแรงงาน และกระทรวงศึกษาธิการ 70 ชั่วโมงและ 420 ชั่วโมง ต่างก็มีหลักสูตรของตนเอง นอกจากนั้น ยังมีศูนย์ฝึกอบรมของสภากาชาดไทยและสำนักงานยุวกาชาด ที่ช่วยฝึกแต่มีความยาวเพียง 18 ชั่วโมง (3 วัน) ทั้งประเทศควรมีหลักสูตรการฝึกอบรมที่มีมาตรฐานเท่าเทียมกันในหลายระดับความรู้ ความสามารถ และผู้ดูแลฯ สามารถศึกษาต่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถตนเอง มีการสอบเพื่อให้ได้มาตรฐาน มีระบบการดูแล care giver care manager อย่างสมควร รวมทั้งค่าตอบแทน สวัสดิการที่เหมาะสม มีเวลาพักเพียงพอ มีเวลาให้ไปหาความรู้เพิ่มเติม ฯลฯ
คณะอนุกรรมาธิการกิจการผู้สูงอายุ จึงได้ทำการศึกษาปัญหาต่างๆเหล่านี้ เพื่อที่จะได้เสนอวิธีการการแก้ปัญหาต่างๆ รวมทั้งให้หน่วยงานต่างๆ ทำงานทางด้านนี้อย่างบูรณาการ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี