ความเข้มแข็งของชุมชนจะเกิดขึ้นได้ด้วยความร่วมมือร่วมใจของสมาชิกชุมชน การที่กองทุนภาคประชาชนสามารถดำเนินกิจการจนประสบผลสำเร็จได้ดี ก็สืบเนื่องมาจากความเชื่อมั่นในกันและกัน รวมถึงการช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกันของหมู่สมาชิกหากขาดความร่วมมือของสมาชิกชุมชนแล้วความสำเร็จของชุมชนจะไม่มีวันบังเกิดขึ้น คณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ติดตามการดำเนินงานของกองทุนต่างๆ ด้านสังคม เช่น กองทุนภาคประชาชนที่ได้ดำเนินการจนประสบผลสำเร็จ สามารถเป็นแบบอย่างแก่การดำเนินงานกองทุนภาคประชาชนอื่นๆ ขณะเดียวกันก็พบว่ามีกลไกหนึ่งที่จะช่วยให้การดำเนินกิจการกองทุนภาคประชาชนประสบผลสำเร็จก็คือการได้รับคำแนะนำการบริหารกิจการจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)
ผู้แทนสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนให้ข้อมูลว่า สวัสดิการชุมชนเป็นการสร้างหลักประกันให้เกิดความมั่นคงของคนในชุมชน โดยคนในชุมชนบนหลักการพึ่งพาชวยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เป็นการให้อย่างมีคุณค่า รับอย่างมีศักดิ์ศรี และการเห็นคุณค่าของกันและกัน แนวคิดเรื่องการจัดสวัสดิการช่วยเหลือซึ่งกันและกันของคนในชุมชนได้เกิดขึ้นมานานแล้วและหลากหลายรูปแบบ เช่น การจัดสรรเงินกำไรจากองค์การเงินชุมชนบางส่วนจัดเป็นสวัสดิการให้กับสมาชิก หรือการตั้งกองทุนสวัสดิการเฉพาะอย่าง เช่น กองทุนฌาปนกิจ เป็นต้น ทำให้การจัดสวัสดิการดังกล่าวช่วยเหลือสมาชิกและคนในชุมชนได้ไม่มากนัก หรือช่วยเหลือได้เฉพาะอย่างตามวัตถุประสงค์ของกองทุน ไม่ครอบคลุมความจะเป็นตามรอบวงจรชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตาย ประกอบกับองค์กรการเงินหลายแห่งได้มีความพยายามเชื่อมโยงและบูรณาการเข้ากับกิจกรรมอื่นๆ ในชุมชน ทำให้แนวคิดของสวัสดิการไม่จำเพาะอยู่แค่เพียงการสร้างสานสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนเท่านั้น แต่ขยายไปสู่การสร้างคุณภาพต่อสังคมด้วย
ดังนั้น เพื่อให้สวัสดิการชุมชนสามารถเป็นเครื่องมือในการพัฒนาที่ตอบสนองเป้าประสงค์ของชุมชนได้อย่างครอบคลุมดังกล่าว จึงได้พัฒนาการไปสู่การจัดตั้งกองทุนสวัสดิการในระดับตำบล มีการนำบทเรียนด้านสวัสดิการชุมชนไปสู่การจัดสัมมนาเสนอเป็นนโยบาย การจัดสวัสดิการชุมชนและการส่งเสริมสวัสดิการชุมชนแนวใหม่ในงาน “สวัสดิการชุมชนแก้จนอย่างยั่งยืน” ในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ จากนั้นได้มีการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการระดับตำบลในพื้นที่ ๑๔ ตำบล และเพิ่มขึ้นทั่วประเทศตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๘-๒๕๕๑ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลผ่านสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) จนกระทั่งเป็นนโยบายของรัฐบาล และได้รับงบประมาณจากรัฐบาลตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๕๒ เป็นต้นมา
เรื่องการจัดสรรงบประมาณ ช่วงแรกเป็นการสนับสนุนการพัฒนากองทุนสวัสดิการชุมชนที่มีอยู่เดิม และเสนอให้เป็นการสมทบสามฝ่ายคือ ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และรัฐบาล เรียกว่า สวัสดิการ ๓ ขา ต่อมาใช้การออมในรูปแบบการออมทรัพย์เดิมหรือออมทรัพย์สัจจะวันละบาท คือ เป็นการเก็บออมเงินไว้วันละบาท หรือลดรายจ่ายลงวันละ ๑ บาท เพื่อให้เกิดสวัสดิการการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งทำต่อเนื่องจนปี พ.ศ.๒๕๕๓ รัฐบาลได้อนุมัติงบสามฝ่ายเท่ากัน ได้จัดสรรงบประมาณผ่านสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนต่อเนื่องเป็นระยะเวลา ๔ ปี และหลังจากนั้นได้ตกลงกับสำนักงบประมาณ โดยมองว่ากองทุนสวัสดิการชุมชนน่าจะพึ่งตนเองระยะยาว การสนับสนุนจากรัฐบาลจะสนับสนุนฐานคิดงบประมาณคือ จัดสรรให้ ๑ คนได้รับ๓ ครั้ง กล่าวคือ ถ้ากองทุนมีสมาชิก ๕๐๐ คน ได้รับงบประมาณ ๓ ปีปีต่อไปมีสมาชิกเพิ่มจำนวน ๑๐๐ คน รัฐบาลจะจัดงบประมาณให้กับสมาชิกใหม่ ๑๐๐ คน ไม่ได้คิดฐาน ๖๐๐ คน โดยสมทบให้ไม่เกิน ๓๖๕ บาทต่อคนต่อปี ปัจจุบันมีการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลไปแล้ว ๖,๑๓๒ กองทุน สมาชิกกองทุนรวมทั้งหมด ๕,๔๐๗,๑๑๐ ราย เงินกองทุนรวม ๑๒,๔๒๗ ล้านบาท แยกเป็นเงินสมทบสวัสดิการจากสมาชิกร้อยละ ๖๓ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นร้อยละ ๖.๓ เงินสมทบจากรัฐบาลผ่านสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนร้อยละ ๒๓ และเงินจากแหล่งอื่นๆ ร้อยละ ๗.๗
ในช่วง ๒ ปีที่ผ่านมา สถาบันป๋วย อึ๊งภากรณ์ พิจารณามอบรางวัลให้กับกองทุนสวัสดิการชุมชนที่มีผลงานโดดเด่นด้านการพัฒนาระบบสวัสดิการใหม่ๆ การบริหารจัดการกองทุนตามระบบธรรมาภิบาลที่ดี รวมถึงส่งเสริมการสร้างคุณค่าและกระบวนการเรียนรู้ของชุมชนและสังคม เป็นการยกย่อง เชิดชูองค์กร/กองทุนสวัสดิการชุมชน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ รวมถึงเพื่อเป็นแบบอย่างให้กับสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรมนอกจากนี้ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนยังได้ทำงานร่วมกับศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) กระทรวงวัฒนธรรม จัดทำตัวชี้วัดคุณธรรม ธรรมาภิบาลกองทุนสวัสดิการชุมชน
ประเด็นการขับเคลื่อนกฎหมาย ในปี พ.ศ.๒๕๕๙ ได้จัดทำร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมสถาบันการจัดสวัสดิการชุมชนแล้วเสร็จและเสนอคณะกรรมการสวัสดิการสังคมแห่งชาติพิจารณา มีข้อสังเกตว่ามีความซ้ำซ้อนกับคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม พ.ศ.๒๕๔๖ หรือไม่ และส่งกลับมาให้พิจารณาใหม่ เครือข่ายชุมชนได้หารือและปรับแก้ไขพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม พ.ศ.๒๕๔๖ ให้มีเนื้อหาสวัสดิการชุมชนชัดเจนขึ้นมีสถานะเป็นนิติบุคคล โดยที่มาในการเสนอแก้ไขกฎหมายฉบับนี้คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๔๓ (๔) บัญญัติว่า “บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิ จัดให้มีระบบสวัสดิการของชุมชน”
ข้อคิดเห็นจากที่ประชุมที่น่าสนใจ คือ
๑.สมาชิกที่เป็นเด็กและเยาวชนที่มาขอความช่วยเหลือจากกองทุน ทั้งนี้ กองทุนจะกำหนดไว้แล้วว่าจะให้ทุนการศึกษาแก่เด็กปีละเท่าไร โดยจะได้รายละ ๕๐๐ บาท ขึ้นอยู่กับระเบียบของแต่ละกองทุน บางกองทุนอาจจัดสรรให้ในรูปแบบอื่น หรือทำงานร่วมกับองค์กรอื่น เนื่องจากเงินของกองทุนไม่เพียงพอ
๒.สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนได้มีการตรวจสอบการจัดทำบัญชีในแต่ละกองทุนโดยกองทุนสวัสดิการชุมชนเป็นการบริหารโดยคณะกรรมการกองทุน สมาชิกจะเลือกตั้งตัวแทนมาเป็นกรรมการ โดยหลักของกองทุนคือการออมหรือการลดรายจ่าย ไม่ให้มีการกู้ยืม ซึ่งขณะนี้บางกองทุนยังไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของกองทุน มีการเขียนระเบียบให้สามารถกู้ยืมเงินได้ ทำให้ไม่ได้รับเงินคืน ซึ่งความจริงเป็นการออมเพื่อสวัสดิการเป็นหลัก แต่หากสมาชิกเดือดร้อน กองทุนบางแห่งจะปล่อยให้ยืมชั่วคราว เพื่อแก้ไขปัญหาเงินกู้นอกระบบ โดยทำงานคู่กับกลุ่มออมทรัพย์หากกองทุนมีเงินเหลือก็ให้กลุ่มออมทรัพย์เป็นผู้บริหาร เพราะกรรมการกองทุนไม่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารกองทุน
๓.การจัดทำบัญชี การสอบทาน ในทุกปีสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนจะส่งเสริมให้กองทุนมีระบบสอบทานสถานะกองทุน พิจารณาการเงินและบัญชี แต่ยังไม่สามารถสอบทานได้หมดทุกกองทุน เนื่องจากบางแห่งมีบุคลากรในการทำงานไม่เพียงพอ บางกองทุนเริ่มแรกได้ไปลอกระเบียบของกองทุนอื่นที่มีฐานะทางการเงินดีมากมา ทำให้กองทุนที่เริ่มใหม่ประสบปัญหาเงินกองทุนไม่พอจ่าย ต้องมาปรับระเบียบใหม่ ยอมรับว่าประสบปัญหาบ้าง เนื่องจากกองทุนบางแห่งตั้งขึ้นมาโดยไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของกองทุนสวัสดิการชุมชนแต่แรก มีการสื่อสารกับสมาชิกว่ารัฐจะสมทบเงินให้ ซึ่งเมื่อรัฐไม่สมทบเงินให้ทำให้กองทุนหยุดชะงักไป หรือเกิดปัญหาขัดแย้งกันภายใน
๔.ในอดีต มีการตั้งคณะกรรมการสนับสนุนสวัสดิการชุมชนในระดับจังหวัด ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรองผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ต่อมาในช่วงหลัง การติดตามตรวจสอบขึ้นอยู่กับเครือข่ายสวัสดิการชุมชนในจังหวัดนั้นลงไปสอบทานข้อเท็จจริงในพื้นที่ว่าการเงินที่แจ้งมาถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ พิจารณาข้อบังคับ บางกองทุนยังเข้าตรวจสอบไม่ได้ จึงเป็นที่มาในการเสนอกฎหมายให้กองทุนสวัสดิการเป็นนิติบุคคล เพื่อที่จะต้องเปิดเผยรายงานทางการเงิน
๕.เดิมรัฐได้สมทบเงินให้กับกองทุนค่อนข้างกว้างขวาง แต่ในช่วงหลังกองทุนที่สมทบมีประมาณ ๗๐๐ กองทุน ปีนี้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนได้รับงบประมาณจำนวน ๑๗๐ ล้านบาท โดยจัดสรรให้กับกองทุนที่ประสบปัญหาไม่เกิน ๓ ครั้ง และจะมีการติดตามอย่างใกล้ชิดส่วนกองทุนที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนไม่ได้จัดสรรงบประมาณให้แล้ว จะไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ทั้งหมด หากสมาชิกมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจะได้รับเงินสมทบเฉพาะสมาชิกส่วนที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับงบประมาณที่ได้รับในแต่ละปี หากงบประมาณไม่เพียงพอจะจัดสรรให้รอบ ๑ และรอบ ๒ ก่อน
๖.ข้อมูลที่ได้ส่วนใหญ่มาจากการสอบทานประจำปีว่ากองทุนมีสถานะอย่างไร ซึ่งส่วนใหญ่จะลงพื้นที่เฉพาะตำบลที่มาขอสมทบในปีนี้ ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของเครือข่ายสวัสดิการชุมชนในแต่ละภาคด้วย ภาคกลางกับภาคใต้ลงพื้นที่ได้ครอบคลุมแต่ที่ประสบปัญหาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากกองทุนมีเป็นจำนวนมาก และในช่วงแรกยังเข้าใจคลาดเคลื่อน ซึ่งกองทุนที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานในระดับดีและสามารถเป็นตัวอย่างได้คิดเป็นร้อยละ ๑๐-๑๕ กองทุนที่ดำเนินงานได้ในระดับปานกลางร้อยละ ๗๐ และกองทุนที่ยังประสบปัญหาในการดำเนินงานร้อยละ ๑๐-๑๕
๗.ปัจจุบันกองทุนทั้งหมด ๖,๑๓๒ กองทุน ไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลทุกกองทุน
๘.เริ่มแรกกองทุนเกิดจากการไปศึกษาดูงานในพื้นที่ตัวอย่าง ๑๔ ตำบล และขยายออกไปเรื่อยๆ ซึ่งการลงพื้นที่ศึกษาดูงานย่อมเป็นไปด้วยความยากลำบาก จึงได้ทำงานร่วมกับวิทยาลัย พัฒนศาสตร์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ จัดทำหลักสูตรการฝึกอบรมออนไลน์ ให้กับผู้นำสวัสดิการชุมชนและผู้ที่สนใจสมัครเข้ามาเรียนและศึกษาผ่านเว็บไซต์ ซึ่งแต่ละกองทุนจะมีจุดเด่นไม่เหมือนกัน
๙.เดิมใช้คำว่า “ออม” มาโดยตลอด และเมื่อได้ผลกำไรจะนำมาจัดสวัสดิการให้แก่สมาชิก ต่อมาใช้คำว่า “สมทบ” ซึ่งยังมีการเข้าใจผิดอยู่ กองทุนต้องไปแก้ไขระเบียบและทำความเข้าใจกับสมาชิกใหม่
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการให้ข้อคิดเห็นว่าคำว่า “การออม” กับ “การสมทบ” มีความหมายแตกต่างกัน หลักการของกองทุนคือ การนำเงินที่สมาชิกจ่ายมากับเงินที่รัฐสมทบมาจัดสวัสดิการให้กับชุมชน โดยคำว่า “ออม” ผู้ออมจะมีความเป็นเจ้าของในทรัพย์สินที่ตนเองออมแต่คำว่า “สมทบ” คือต้องการได้สวัสดิการ ผู้ที่ได้รับต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ จึงต้องระมัดระวังการสื่อสารกับสมาชิกให้ถูกต้อง
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่คณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โทร.๐๒-๘๓๑ ๙๒๒๕-๖ โทรสาร ๐๒-๘๓๑ ๙๒๒๖
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี